xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เป้าหมายที่ยิ่งกว่าได้อำนาจรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ช่อ พรรณิการ์ วานิช ประกาศว่าจะสู้ต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ชัยชนะของเธอหมายถึงอะไร ชัยชนะของเธอไม่ใช่หมายถึงการเลือกตั้งแน่ ชัยชนะของเธอไม่ได้หมายถึงการได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ แต่ชัยชนะของเธอหมายถึง ทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ตามสโลแกนของพรรคก้าวไกลนั่นแหละ

ใช่ไหมว่าประเทศไทยไม่เหมือนเดิมของพวกเขาก็คือ ข้อเรียกร้องของม็อบคนรุ่นใหม่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และข้อเรียก 10 ข้อของแนวร่วมธรรมศาสตร์ ที่อ่านโดย รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้แล้วว่า เขาข่ายการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

พวกเขาจึงต้องการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อเสรีภาพในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เมื่อเขายกเลิกมาตรา 112 ได้แล้ว พวกเขาก็จะเขียนมาตราใหม่ขึ้นมาให้โทษในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เบากว่าโทษหมิ่นคนธรรมดาในกฎหมายปัจจุบัน พวกเขาต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ เพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ลงมา

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดกับซีเอ็นเอ็นในวันที่เขาสถาปนาตัวเองเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า เป้าหมายของพรรคก้าวไกลคือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ไม่ใช่การนำมาเป็นอาวุธทางการเมือง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่หากย้อนกลับไปดูทุกๆ 10 ปี ก็จะเห็นกรณีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมาตลอด

คำถามว่าจะให้พระมหากษัตริย์ทรงทำอย่างไร เพราะการพูดว่าต้องทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองนั้น เป็นการใส่ร้ายว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งๆ ที่พระมหากษัตริย์ถูกทำให้อยู่เหนือการเมืองมาแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2475 และไม่มีใครใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นอาวุธทางการเมือง มีแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกกล่าวร้ายจาบจ้วงต่างๆนานาด้วยข้อความที่เป็นเท็จ คนที่ออกกล่าวหาเช่นนั้นต่างหากที่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่การเมืองจึงต้องถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112

แต่เมื่อฝ่าฝืนมาตรา 112 และถูกดำเนินคดีแล้วก็ไปกล่าวหาว่าดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นการเมือง ถามว่า ถ้าหากไม่ไปกระทำการให้เข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กฎหมายมาตรา 112 จะไปเล่นงานใครได้ไหม คัมภีร์ที่ใช้ในการปลุกปั่นคนรุ่นใหม่ให้มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่ผลิตโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันที่มีธนาธรเป็นนายทุนนั่นเอง

หนังสือเรื่อง ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี ของ ณัฐพล ใจจริง ที่ผลิตโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ถูก ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร พิสูจน์แล้วว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวเป็นเท็จที่แต่งแต้มเขียนขึ้นมาเองเพื่อให้ร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้อมูลอ้างอิงที่สรรสร้างขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยความเท็จเพื่อให้เข้ากับความเชื่อของตัวเองและเป็นข้อมูลที่ตัวเองต้องการสื่อออกไปสู่สังคม แต่หนังสือเล่มนี้กลายเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นใหม่ที่มีความเชื่ออยู่ในห้องแห่งเสียงสะท้อน(EHCO CHAMBER)ที่ถูกสร้างขึ้นจากการเลือกรับรู้เฉพาะข้อมูลที่ส่งเสริมและสนับสนุนความเชื่อหรือหลักคิดบางอย่างที่ยึดมั่น โดยปฏิเสธข้อมูลเห็นต่างและเห็นแย้งอื่นทั้งหมด ไม่มีใครสนใจข้อมูลจริงที่ศ.ดร.ไชยันต์นำมาแสดง

การผลิตงานของนักวิชาการหลายคนของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันจำนวนมาก ทำให้วันนี้คนรุ่นใหม่ถูกปลุกปั่นด้วยข้อมูลที่เป็นลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้คนรุ่นใหม่มองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ลองไปอ่านความคิดของคนรุ่นใหม่ในเฟซบุ๊กของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในเฟซบุ๊กของปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ หรือในเพจรอยัลลิสต์มาร์เกตเพลสของเขาจะเห็นได้ว่า พวกเขาผลิตคนรุ่นใหม่ที่มอมเมาด้วยความเชื่อและข้อมูลที่เป็นด้านลบและเป็นเท็จต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งถูกผลิตออกมาเต็มไปหมด และวันนี้คนเหล่านี้ก็เป็น”ด้อมส้ม”นั่นเอง

“ด้อมส้ม”ที่ผมเคยเปรียบเปรยว่า เหมือนกับเด็กกาเหว่าที่บางเพลงจากนวนิยายของมรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ทำอะไรเหมือนกัน คิดเหมือนกัน พูดเหมือนกันนั่นเอง พวกนี้ยังเป็นเหมือนยุวชนเรดการ์ดของจีนที่ใช้ความศรัทธามากกว่าเหตุผลเพื่อปกป้องความเชื่อของตัวเอง คนหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่เคยผ่านชีวิตที่ยุ่งยากลำบากมาก่อน เพิ่งเติบโตมีอิสระทางความคิด จึงเป็นเป้าหมายที่ปลูกฝังความคิดทางการเมืองได้ง่าย และพรรคอนาคตใหม่กับพรรคก้าวไกลก็สามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ

และในอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็เคยประสบความสำเร็จในการปลูกฝังความคิดกับคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยมาก่อน

คนพวกนี้ถูกสั่งสอนให้ไม่นับถือพ่อแม่และครูบาอาจารย์หากมีความคิดไม่เหมือนกับตัวเอง มองทุกคนที่มีความคิดไม่เหมือนกันตัวเองว่าเป็นคนชั่วร้ายที่จะต้องกำจัด ปิยบุตร แสงกนกกุล สุดท้ายก็กลายเป็นเหยื่อของ “ด้อมส้ม” ที่ถูกรุมขย้ำ เพราะไปวิจารณ์พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา เพราะการใช้ศรัทธาเหนือกว่าเหตุผลของพวกเขาหากใครไปทำอะไรกระทบศรัทธาของพวกเขาก็พร้อมรวมตัวกันบดขยี้ให้ย่อยยับแม้จะเป็นคนที่เคยต่อสู้กันมาหรือเคยนับถือก็ตาม


วันนี้พรรคก้าวไกลเชื่อว่า ความคิดของพวกเขากำลังครอบงำทั้งแผ่นดิน เราคงต้องยอมรับว่านอกจากการใส่ความเชื่อที่ผิดๆต่อคนรุ่นใหม่แล้ว ด้านหนึ่งมาจากการที่การเมืองเก่าที่เน่าเฟะเป็นตัวเร่ง คนจำนวนมากก็เลยไปฝากความหวังไว้กับคนเหล่านี้ ยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายควบคุมโซเชียลมีเดียและสื่อกระแสหลักที่เป็นแนวร่วมได้แล้วไม่ว่าจะเป็น มติชน สุทธิชัย หยุ่น หรือ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา พวกเขาก็ยิ่งจะมีพลังที่สามารถครอบงำสังคมได้มากขึ้น

ไม่แต่คนรุ่นใหม่เท่านั้นวันนี้พวกฝ่ายซ้ายอกหักในอดีตที่ฝันว่าความฝันในวัยเยาว์ของพวกเขาในการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินจะกลับมาเป็นจริง รวมถึงผู้เฒ่าจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ส.ศิวรักษ์ อานันท์ ปันยารชุน บรรยง พงษ์พานิช ยังเป็นแนวร่วมของพวกเขา

พรรคก้าวไกลนั้นมั่นใจมากว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคของพวกเขาจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายยิ่งกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แน่นอนพวกเขาคิดไปไกลว่า พวกเขาจะชนะเลือกตั้งโดยจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยพรรคเดียว ที่ไม่มีทางที่อำนาจไหนจะมาสกัดกั้นได้ พิธาจึงมั่นใจมากกว่า เขาจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน แต่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย เพราะครั้งหน้าธนาธร เจ้าของพรรคจะยังไม่สามารถกลับสู่ถนนการเมือง

ความจริงพิธายังไม่ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคก็ได้ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเสียก่อนค่อยตัดสินใจตอนนั้นก็ได้ ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกไม่นาน แต่เพราะพิธาไม่อยากเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านซึ่งอาจเพราะทำใจยอมรับตำแหน่งนี้ไม่ได้นั่นแหละ จึงลาออกเพื่อเปิดทางให้ชัยธวัช ตุลาธนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะพิธาคิดว่าถึงอย่างไรเสียพรรคก็ต้องชูตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าตัวเองมีกระแสตอบรับที่สูงจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

อีกด้านชัยธวัช นี่แหละคือตัวจริงที่เป็นผู้สร้างแนวคิดมอมเมาคนรุ่นใหม่ในฐานะของบรรณาธิการสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันมาก่อน เป็นตัวจริงที่เติบโตเคียงบ่าเคียงไหล่มากับธนาธร ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่จะเป็นตัวเลือกที่ธนาธรจะฝากพรรคเอาไว้ในวันที่ตัวเองยังติดโทษทัณฑ์

เป้าหมายของแกนนำพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้ของคนที่ก่อตั้งพรรคอย่างธนาธร ปิยบุตร และชัยธวัช นั้นไม่เพียงแต่ต้องการได้เข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น แต่พวกเขามีความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปไม่ให้เหมือนเดินอย่างแน่นอน พวกเขามีความถวิลหา 2475 เพราะมีความคิดว่า รัฐประหารครั้งนั้นยังเดินไปไม่สุดทาง และพวกเขาจะต้องเข้ามาสานต่อเพื่อไปสู่เป้าหมายให้ได้

ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาทำให้พวกเขามั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พวกเขาจะประสบชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ และเมื่อถึงวันนั้นก็ไม่มีอะไรจะทัดทานพวกเขาได้ เห็นได้ว่าพวกเขาไม่ยอมถอยเรื่องมาตรา 112 แม้อาจจะทำให้เขาได้เป็นแกนนำรัฐบาลและพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าการได้อำนาจรัฐนั่นเอง



กำลังโหลดความคิดเห็น