xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อเครื่องจักรสังหารอย่างกองทัพอเมริกัน“ไม่พร้อม”ที่จะสู้กับจีนและรัสเซีย!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


พลเอกมาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องลองหันไปตรวจสอบ ชั่งน้ำหนัก ศักยภาพในเรื่อง “การทหาร” ของโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก โลกเหนือกับโลกใต้ หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ” น่าจะเหมาะกว่า เพราะในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งในเรื่อง “ความเชื่อ” ทัศนคติ ค่านิยม อะไรต่อมิอะไรต่างๆ คงแทบไม่ต้องเสียเวลามาชั่งน้ำหนักมาสำรวจตรวจสอบอะไรกันอีกมากมาย เนื่องจากโดยข้อเท็จจริง ข้อพิสูจน์และหลักฐานต่างๆ นานา น่าจะพอสรุปได้ถนัดชัดเจนแล้วว่า โลกตะวันตกอันมีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำและบรรดาพวกพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลาย น่าจะออกอาการ “สาละวันเตี้ยลง...เตี้ยลง” ไปตามลำดับ หรือกำลังกลายสภาพไปเป็น “จักรวรรดิที่กำลังแตกสลาย” อย่างที่ได้ว่าเอาไว้แล้วเมื่อช่วงต้นสัปดาห์...นั่นแล...

แต่สำหรับเรื่อง “การทหาร” นี่สิ!!! ด้วยศักยภาพ ด้วยเม็ดเงินงบประมาณที่ต่อเนื่อง ยาวนานและสูงกว่าเอางบกลาโหมของประเทศทั้งหลายมารวมกัน อันทำให้ “กองทัพอเมริกัน” แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “เครื่องจักรสังหาร” ชนิดสามารถไล่ล่าและบดขยี้ใครต่อใครก็ย่อมได้ ภายใต้ภาวะที่ “ฐานทัพอเมริกา” แผ่ขยายไปทั่วทุกซีกโลก ไม่น้อยกว่า 800 ฐานทัพด้วยกัน ถึงแม้จะประสบ “ความพ่ายแพ้” ในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงอิทธิพลของ “เงินยูเอสดอลลาร์” ที่เสื่อมโทรมลงไปทุกทีแต่ก็ด้วย “อำนาจทางทหาร” นี่เอง ที่ยังทำให้คุณพ่ออเมริกาและพันธมิตร ยังเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง น่าขนลุกขนพอง สำหรับใครก็ตามที่ดันถูกเสือกไส ไล่ส่ง ให้ต้องไปยืนอยู่ในฐานะฝ่ายตรงกันข้าม หรือในฐานะ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกา โดยเฉพาะคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ที่กำลังต้องเจอกับการ “เปิดศึก 2 ด้าน” ชนิดอาจกลายเป็นเหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” หรือกระทั่ง “สงครามนิวเคลียร์” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา...เผอิญได้ไปอ่านข้อเขียน บทความ ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารอยู่ 2-3 บทความ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “Ukraine Shows US Military Not Ready For Major War” หรือกรณีสงครามยูเครนนั่นเอง ที่อาจถือเป็นหลักฐานและข้อพิสูจน์ว่ากองทัพอเมริกันยังคง “ไม่พร้อม” ที่จะเผชิญหน้ากับสงครามหลักๆ หรือสงครามกับมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซียได้เลย โดยอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองแห่งหน่วยนาวิกโยธินอเมริกัน อย่าง “นายScott Ritter” หรือข้อเขียนของนักวิเคราะห์ด้านการทหาร ผู้เชี่ยวชาญจาก “The Russian International Affairs Council” และนักวิจัยแห่งสถาบัน “The Institute of World Economy and International Relations” อย่าง “นายIlya Kramnik” ว่าด้วยเรื่อง “Wake up, Uncle Sam: Is the Us military ready to take on Russia and China?” อันถือเป็นการปลุก “ลุงแซม” หรือคุณพ่ออเมริกา รีบตื่นๆ จากฝันโดยเร็วไว ด้วยเหตุเพราะศักยภาพทางทหารของอเมริกา น่าจะยัง “ไม่พร้อม” ที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ได้อย่างชนิดถึงไหนก็ถึงกัน...

คือจะจริง-ไม่จริง...น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ อันนี้คงต้องลองไปใคร่ครวญ พิจารณา เอาเองก็แล้วกัน แต่โดยเหตุ-โดยผลที่ถูกนำมาแสดงไว้ในข้อเขียนดังกล่าว คงต้องยอมรับว่า ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย หรือถ้าจะสรุปโดยคร่าวๆ ก็คงประมาณว่า ด้วยเหตุเพราะ “ความไม่สัมพันธ์” หรือความไม่สอดคล้อง กลมกลืน ระหว่างนโยบาย “ขยายอำนาจ” หรือความต้องการที่จะเป็นจ้าวโลก ดำรงรักษาความเป็นมหาอำนาจสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวต่อไปให้จงได้ กับ “ข้อเท็จจริง” ในการพัฒนากำลังทหารเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว มันค่อนข้างที่จะขัดแย้ง แปลกแยก ไปจากกันและกัน อันนี้นี่แหละ...ที่กำลังทำให้เครื่องจักรสังหารอย่างกองทัพอเมริกัน กลายเป็นอะไรที่ไม่ถึงกับน่ากลัว น่าขนพองสยองขวัญกันสักเท่าไหร่นัก เผลอๆ...อาจจะแพ้ หรืออาจยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียได้เลย...

อันเนื่องมาจากการเสริมสร้างกำลังทหารของอเมริกานั้น...ยังคงเป็นไปตามแบบแผน แนวทาง นับจาก “สงครามโลกครั้งที่ 2” เป็นต้นมา และต่อเนื่องมาถึงยุค “สงครามเย็น” ด้วยการเน้นหนักที่จะเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามโดยการโหมกำลังที่เหนือกว่า เช่นการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดไปถล่มใครต่อใครให้ราบเป็นหน้ากลอง หรือการแข่งขันที่จะเสริมสมรรถนะอาวุธนิวเคลียร์ ให้เหนือไปกว่าคู่แข่งอย่าง “สหภาพโซเวียต” เมื่อครั้งอดีต แต่โดยสีสันบรรยากาศ โดยความเป็นไปของโลกนับจากสงครามเย็นได้ยุติลงไปแล้ว มันได้กลายเป็นตัวลดระดับการเผชิญหน้า ให้กลายเป็นการต่อสู้ในระดับท้องถิ่นซะเป็นส่วนใหญ่ เช่น การรบกับอิรัก กับอัฟกานิสถาน ฯลฯ อะไรประมาณนั้น และนั่นเอง...ที่ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มลดระดับการเสริมสมรรถนะในแนวทางเหล่านี้ ไม่ว่าจะในแง่กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศก็ตามที แต่สิ่งที่ไม่ได้คิดจะลดระดับตามไปด้วย ก็คือความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็น “จ้าวโลก” เป็น “ประมุขโลก” ต่อไปให้จงได้ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายตรงข้ามอย่าง “สหภาพโซเวียต” ได้แตกสลายออกไปเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย อันนี้นี่เอง...ที่มันเลยทำให้เกิดความขัดแย้ง แปลกแยกระหว่าง “นโยบาย” กับ “ข้อเท็จจริง” ที่นับวันจะยิ่งปรากฏให้เห็นอย่างเป็นที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

และก็ด้วย “บทเรียน” ต่างๆ ไม่ว่าตั้งแต่สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฯลฯ รวมทั้งความตระหนักถึง “ภัยคุกคาม” อันเนื่องมาจากความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นจ้าวโลกของอเมริกา ที่ออกมาป่าวประกาศถึง “สงครามกับการก่อการร้าย” หลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา ชนิดถึงกับสรุปเอาไว้ประมาณว่า “ใครที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างอเมริกา...ก็คือผู้ที่สนับสนุนผู้ก่อการร้าย” อะไรทำนองนั้น เลยทำให้ทั้งจีนและรัสเซียต้องร่วมกันดึงเอาบรรดาประเทศในภูมิภาค “เอเชียกลาง” กลับคืนมาสู่ความมั่นคงปลอดภัยในทางยุทธศาสตร์ของตัวเอง อันเนื่องมาจาก “ฐานทัพอเมริกัน” ที่แพร่กระจายเข้าไปมีบทบาทในภูมิภาคดังกล่าว แบบชนิดจ่ออยู่หน้าปากประตูบ้านของแต่ละประเทศ จนนำไปสู่แนวคิดความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ไปไกลในระดับ “ไร้ขีดจำกัด” ในเวลาต่อมา ของทั้งสองประเทศ จนตราบเท่าทุกวันนี้...

การถักทอ บูรณาการ ความร่วมมือดังกล่าว...จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาแค่ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี และไม่ใช่แค่การหาทางปกป้องผลประโยชน์ ความมั่นคง ของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่มันคือความเห็นพ้อง ต้องกัน ของทั้งสองประเทศต่อสิ่งที่ถือเป็น “ภัยคุกคาม” ในระดับ “ยุทธศาสตร์” อันเนื่องมาจากความต้องการที่จะเป็นจ้าวโลกของคุณพ่ออเมริกานั่นเอง ดังเห็นได้จากคำพูด คำปราศรัยของผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ต่อบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเกือบ 6-7 ปีที่แล้ว หรือเมื่อช่วงวันที่ 1 กรกฎาคมปี ค.ศ. 2016 โน่นเลย ที่สรุปไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า... “โลกกำลังอยู่ริมขอบเหวแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเรากำลังเป็นประจักษ์พยานต่อการล้มละลายของกลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่างอียู กำลังได้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะล่มสลายลงไปอย่างไร และนี่เอง...ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ดังนั้น...ในช่วงอีกประมาณ 10 ปีนับจากนี้เราจะมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ โดยมีกุญแจสำคัญที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา นั่นก็คือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีน...กับ...รัสเซีย”

พูดง่ายๆ ว่า...มันคือ “ความร่วมมือ” เพื่อที่จะ “เปลี่ยนโลก” ไม่ให้เป็นโลกที่ก่อให้เกิด “ภัยคุกคาม” ต่อตัวเองไม่วันหนึ่งวันใด ขึ้นมาจนได้ การพัฒนาในทางเศรษฐกิจไปจนถึงกำลังทหารของทั้งสองประเทศ จึงทำให้ความไม่สอดคล้องต้องกัน ระหว่าง “นโยบายความเป็นจ้าวโลก” ของสหรัฐฯ กับ “ข้อเท็จจริงทางทหาร” ก็จึงค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะหลังจาก “สงครามยูเครน” เป็นต้นมา เกิดการเตรียมตัว เตรียมพร้อม ในการรับมือกับ “สงครามสมัยใหม่” ที่ต่างไปจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามเย็นแบบคนละเรื่อง-ละม้วน เกิดความเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีผลต่อสมรรถนะทางทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ จนสามารถสะท้อนให้เห็นว่าทั้งอเมริกาและพันธมิตรยุโรปต่างก็ “ไม่พร้อม” ที่จะรับมือกับ “สงครามใหญ่” โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ทั้งสอง หรือยิ่งถ้าคิดไป “เปิดศึก 2 ด้าน” ก็ยิ่งโกบิ๊ก...ไปกันใหญ่!!!

เพราะอย่างที่รองประธาน “CSIS” (Center for Strategic and International Studies) หน่วยงาน “Think-tank” ของอเมริกันเอง อย่าง “นายSeth Jones” ได้สรุปไว้ในรายงานเรื่อง “Empty Bins in a Wartime Environment : The Challenge to the US Defense Industrial Base” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 แล้วว่า “ขีปนาวุธ” สำคัญๆ ของสหรัฐฯ ไม่ว่า JASSM, JASSM-ER, LRASM ฯลฯ จะหมดเกลี้ยงจากคลังภายในเวลาแค่ 8 วัน ถ้าหากต้องเจอกับการปะทะขัดแย้งกับมหาอำนาจหลักๆ อย่างรัสเซียและจีน อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะคิดที่ทำให้ประธานเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ อย่าง “พลเอกMark Milley” ถึงได้ออกมาเตือนไว้ล่วงหน้าเมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่ากองทัพสหรัฐฯ จะต้องหาทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารกับจีนโดยเด็ดขาด ส่วนการคิดจะบั่นทอนศักยภาพของรัสเซียโดยอาศัย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนนั้น ก็ยังแทบไม่รู้หมู่-รู้จ่า ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีต่อกี่ปี ถึงจะบรรลุเป้าประสงค์ตามที่อเมริกามุ่งมาดปรารถนา ให้เป็นไปตามนั้น...

สรุปง่ายๆ ว่า...แม้จะหันไปใช้ “อำนาจทางทหาร” เป็นเครื่องวัดตัดสิน หลังจากพ่ายแพ้ทางการเมือง เศรษฐกิจ ค่านิยมความเชื่อต่างๆ นานา โอกาสที่โลกตะวันตกมีแต่จะต้อง “แพ้...กับ...แพ้” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาและบรรดาพวกพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลาย มีแต่ต้องหันมายอมรับ “ความจริง” ยอมรับข้อเท็จจริง ว่าโลกตะวันตก หรือโลกขั้วอำนาจเดียว ได้หมดสภาพลงไปแล้ว ถึงเวลา...ที่โลกใต้ โลกตะวันออก หรือโลกหลายขั้วอำนาจ จะได้ก่อรูป ก่อร่าง ขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังเสียที!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น