หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐา ทำให้บทละครการเมืองของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จบลงแล้ว หลังเขาเล่นบทบาทหน้าที่ว่าที่นายกรัฐมนตรีทั้งต่อคนในประเทศและต่างประเทศให้เห็นว่า เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทยโดยเรียกหน่วยงานต่างๆ มารับนโยบายหรือสื่อสารกับสื่อต่างประเทศว่าเขาจะนำพาประเทศไทยไปอย่างไร ทั้งๆ ที่ที่เขารู้ว่ากติกาของประเทศไทยนั้นจะต้องได้เสียงข้างมากของรัฐสภา
แม้ว่าพิธาจะเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีที่ตกสวรรค์ก็ไม่สามารถทำให้พิธาและพรรคก้าวไกลหมดหวัง เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่าวันเวลาและอนาคตเป็นของพวกเขา เช่นเดียวกับความกลัวของคนไม่น้อยที่พูดกันว่า หากพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลเที่ยวนี้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพวกเขาอาจจะชนะอย่างถล่มทลาย
พรรคก้าวไกลน่าจะรู้ว่า พลังที่ต่อต้านการเข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคก้าวไกลนั้นมีทั้งฝ่ายตรงข้ามที่มองเห็นและมองไม่เห็น และการสามารถแยกความเป็นพันธมิตรระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยให้สลายจากกันได้นั่นแหละที่เป็นบทพิสูจน์ชัดว่า นับแต่วันนี้พรรคก้าวไกลจะต้องโดดเดี่ยวไม่มีวันที่พลังในสังคมไทยจะยอมให้พรรคก้าวไกลได้อำนาจรัฐอย่างง่ายดายแน่นอน
วันนี้ชัดเจนแล้วว่าการเมืองไทยในยุคต่อไปจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย โดยพรรคเพื่อไทยหลอมรวมกับพรรคขั้วอนุรักษนิยมกลายเป็นพลังเข็มแข็งที่จะสกัดพรรคก้าวไกลไม่ให้เข้าสู่อำนาจรัฐ
ทางเดียวที่จะได้เข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคก้าวไกลก็คือ การชนะเลือกตั้งให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ในสภา ซึ่งต้องดูว่ารัฐธรรมนูญที่มีเสียงเรียกร้องให้ร่างขึ้นใหม่นั้นจะออกแบบมาอย่างไร จะยังมีส.ส.ระบบบัญชีรายชื่ออยู่อีกไหม เมื่อเห็นแล้วว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลชนะในระบบบัญชีรายชื่อในหลายจังหวัด ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.ระบบเขตเท่ากันแต่พรรคก้าวไกลชนะในระบบบัญชีรายชื่อที่ได้มากกว่าพรรคเพื่อไทยถึง 10 ที่นั่ง
ดังนั้นต้องดูว่าพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งถือเสียงข้างมากจะออกแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญอย่างไรเพื่อให้สามารถคงความได้เปรียบในการร่างกติกาเพื่อสกัดกั้นการเติบโตอย่างร้อนแรงของพรรคก้าวไกลที่เมื่อมีการเลือกตั้งทุกครั้งจะมีโหวตเตอร์หน้าใหม่ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่อายุถึงเกณฑ์เลือกตั้งมาเติมซึ่งคนรุ่นใหม่ส่วนมากจะสนับสนุนพรรคก้าวไกล ในขณะที่คนรุ่นเก่าค่อยล้มหายตายจากไปตามวัย
ปัญหาสำคัญที่กลุ่มอำนาจรัฐเดิมจะต้องคิดคือจะรับมือความร้อนแรงของพรรคก้าวไกลได้อย่างไร แม้ครั้งนี้จะสามารถแยกพรรคเพื่อไทยออกจากพรรคก้าวไกลและสลายขั้วฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยให้สูญสลายไป และดึงพรรคเพื่อไทยมาเป็นแนวร่วมของฝ่ายอนุรักษนิยมเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกลที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐได้สำเร็จก็คือต้องทำให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีความหวังมากกว่าทางเลือกของพรรคก้าวไกลที่จะนำประเทศไปสู่ความขัดแย้ง
ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นนอกจากคนรุ่นใหม่ที่กลายเป็นโหวตเตอร์ของพรรคก้าวไกลแล้ว คนชั้นกลางในเมืองก็หันไปเลือกพรรคก้าวไกลเห็นได้จากผลการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครปริมณฑลและเขตเมืองทั่วประเทศ ทั้งที่คนในเขตเหล่านี้เคยเป็นพลังสำคัญของฝ่ายอนุรักษนิยมมาก่อน สะท้อนว่าพวกเขาคงจะหมดหวังกับการเมืองเก่าและต้องการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือและพรรคก้าวไกลสามารถตอบสนองสิ่งที่พวกเขาต้องการได้พอดี ดังนั้นเป้าหมายสำคัญก็คือทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนใจคนเหล่านี้และชี้ให้เห็นถึงภยันตรายต่อชาติบ้านเมืองหากพรรคก้าวไกลได้อำนาจรัฐไป
ถ้าเปลี่ยนใจคน 14 ล้านคนที่เลือกพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ไม่ได้ พรรคก้าวไกลก็จะมีคนรุ่นใหม่ที่เป็นโหวตเตอร์ใหม่เข้ามาเติมอีกหลายล้านคนเลือกตั้งครั้งหน้าพวกเขาจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากกว่านี้อีก
การจะเปลี่ยนใจโหวตเตอร์ของพรรคก้าวไกลให้ได้นั้นจะต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าแนวทางอุดมการณ์ความคิดของพรรคก้าวไกลที่จะนำพาชาติบ้านเมืองหากได้อำนาจรัฐนั้นจะพาบ้านเมืองไปสู่ความสุ่มเสี่ยงทั้งจากแนวคิดสุดโต่งที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศเปลี่ยนแปลงรูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐ และเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีจุดมุ่งหมายที่จะสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ลงให้กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์
รวมถึงนโยบายต่างประเทศของพรรคก้าวไกลที่มีแนวคิดจะแทรกแซงการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านที่จะนำมาสู่ความขัดแย้ง รวมถึงแนวนโยบายที่จะเอียงข้างตะวันตกและจะเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐแทนนโยบายต่างประเทศเดิมของไทยที่มักจะรักษาความสมดุลระหว่างมหาอำนาจไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งจนเกินไปและไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน
เราตระหนักว่าคน 14 ล้านคนที่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลนั้นมีไม่น้อยที่มีความคิดต้องการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจรัฐเพราะเบื่อหน่ายกับรัฐบาล 3 ป. ในครั้งหน้าพวกเขาไม่มีความคิดเช่นนี้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ ดังนั้นสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนใจพวกเขาได้ก็คือผลลัพธ์จากการบริหารประเทศของรัฐบาลเศรษฐาว่าจะสามารถสร้างความหวังใหม่ให้กับคนเหล่านั้นหรือไม่ ถ้ารัฐบาลเศรษฐาทำได้คนจำนวนไม่น้อยก็คงจะเปลี่ยนแปลงความคิดจากการสนับสนุนพรรคก้าวไกลเพราะรู้ว่าแนวคิดของพรรคก้าวไกลที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศนั้นอาจจะนำมาสู่ความขัดแย้งรุนแรงของคนในชาติ
แต่ถ้ารัฐบาลเศรษฐายังมีสภาพแบบการเมืองเก่าที่มีแต่การแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจและไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จได้ ก็จะกลายเป็นแนวร่วมด้านกลับที่ทำให้คนหันไปนิยมพรรคก้าวไกลมากขึ้น พรรคก้าวไกลก็จะชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แม้ว่าจะมีคนบอกว่าหากพรรคก้าวไกลได้อำนาจรัฐไป แนวคิดนโยบายและแนวทางที่จะบริหารประเทศรวมถึงประสบการณ์ที่อ่อนด้อยอาจจะนำมาสู่ความล้มเหลวในชั่วข้ามคืน แต่เราก็ไม่ควรปล่อยให้ประเทศเดินไปสู่จุดนั้น เพราะอาจไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปและยากจะกู้กลับคืนมา แต่ถ้าจะทำให้คนส่วนใหญ่ตระหนักต่อเรื่องนี้ร่วมกันก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าการเมืองและฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐนั้นยังเป็นความหวังได้
แม้ว่าวันนี้ฝ่ายอนุรักษนิยมจะประสบความสำเร็จในการดึงพรรคของทักษิณมาเป็นพันธมิตรและสามารถจัดตั้งรัฐบาลเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกลในการเข้าสู่อำนาจรัฐได้สำเร็จ แต่หนทางข้างหน้าอาจจะไม่ง่ายเหมือนครั้งนี้ หากการเมืองที่เป็นอยู่ไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่มีความหวังไปในทางที่ดีได้ ก็ยิ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่หันไปฝากความหวังกับพรรคก้าวไกลมากขึ้น แม้รู้ว่าหากพรรคก้าวไกลเข้าสู่อำนาจรัฐอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างของรัฐไปแต่จะมีใครกี่คนที่กังวลต่อเรื่องดังกล่าวมากไปกว่าความหวังในการมีชีวิตที่ดีกว่าของตัวเอง
อย่าลืมว่าวันนี้พรรคก้าวไกลและแนวร่วมที่เป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลได้เสี้ยมสอนคนรุ่นใหม่ให้มีความคิดต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ที่เปลี่ยนไปจากความเชื่อของคนไทยในอดีต คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ยึดมั่นกับสถาบันหลักของชาติ ไม่ยึดมั่นกับความเป็นไทยแต่มองตัวเป็นพลเมืองของโลกที่ไม่ผูกติดกับความเป็นชาติ และถูกทำให้มีทัศนคติในเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือกระทั่งมีทัศนคติเชิงลบต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์ เราต้องตระหนักว่าจะหลอมหลวมคนรุ่นใหม่ให้เห็นว่า สังคมไทยและแนวทางแบบไทยนั้นยังมีความหวังสำหรับอนาคตที่พวกเขาจะสามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างมั่นคงได้อย่างใด
แม้การจับมือกันต้านทานพรรคก้าวไกลไม่ให้เข้าสู่อำนาจรัฐจะประสบความสำเร็จในครั้งนี้ หรืออาจจะสามารถต้านทานได้อีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ถ้าหากรัฐบาลที่บริหารประเทศไม่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศไปสู่ความหวังของสังคมมากไปกว่าการแย่งชิงผลประโยชน์แบบการเมืองเก่าอนาคตก็จะทำให้พรรคก้าวไกลยิ่งเติบใหญ่ขึ้นไปอีก และวันหนึ่งชัยชนะของพวกเขาก็จะมาถึงและวันนั้นประเทศไทยก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ถึงวันเวลาและอนาคตจะเป็นของพวกเขาพร้อมกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่โหมกระหน่ำ แต่ยังมีความหวังว่าคนรุ่นเราจะต้านทานความเปลี่ยนแปลงให้ค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่ให้มีความรุนแรงและสูญเสียได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan