พื้นดวงหรือดวงกำเนิดได้แก่ การนำเอาวัน เดือน ปี และเวลาตกฟากของคนมาคำนวณเป็นดวงชะตา หรือคอยฤกษ์เปิดกิจการหรือการตั้งองค์กร
ดวงเมืองก็ทำนองเดียวกันคือ ดวงพระฤกษ์ในการปักเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 06.54 น. และคำนวณเป็นดวงพระฤกษ์กรุงเทพฯ ดังกล่าวข้างต้น
จากดวงเมืองข้างต้น พยากรณ์โดยอาศัยตำราโหราศาสตร์ไทยได้ดังนี้
เรือนตนุมีดาวอาทิตย์กุมลัคนาได้ตำแหน่งมหาอุจ และทำมุมตรีโกณพฤหัสบดีและเสาร์ หมายความว่า ผู้ที่จะเข้ามาปกครองบ้านเมืองและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนได้จะต้องมีลักษณ์เป็นขุนนาง และมีความซื่อสัตย์เข้ากันได้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และมีดวงชะตาอยู่ในเรือนที่ไม่เป็นอริมรณะ และวินาศกับดวงเมือง แต่เท่าที่ผ่านมา ผู้ที่มีลัคนาอยู่ราศีสิงห์และดาวพฤหัสบดีไม่ประหรือนิจจะทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศมากที่สุด
แต่ถ้าลัคนาเป็นอริมรณะหรือวินาศจะไม่ได้นาน และลงจากอำนาจแบบจำใจและจากไปพร้อมกับเสียงก่นด่าของประชาชน เรือนกัมมะหมายถึงอาชีพที่เกื้อกูลต่อประเทศ ก็คือ เกษตรกรและอุตสาหกรรมการเกษตร
ในด้านการเงินและการคลังของประเทศ ดาวศุกร์เจ้าเรือนการเงินสถิตอยู่เรือนวินาศร่วมกับพุทธและราหู ปัญหาหนี้สินของประเทศเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และทุกรัฐบาลที่เข้ามาจะก่อหนี้และมีปัญหาเกี่ยวกับทุจริต คอร์รัปชัน โดยเฉพาะรัฐบาลที่ผู้นำมีลักษณะเป็นพ่อค้า จึงมักจะจบด้วยการถูกขับไล่ และถูกโค่นล้มและระบบเผด็จการเข้ามาครองอำนาจแทน
ด้วยเหตุที่พื้นดวงมีลักษณะดังกล่าวข้างต้น นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การปกครองประเทศไทยจึงสลับสับเปลี่ยนกันระหว่างระบอบเผด็จการ และประชาธิปไตยหลายครั้งหลายหน
จากนี้ไปอีก 4 ปีรัฐบาลจะเป็นอย่างไร?
ในการทำนายดวงเมืองก็เช่นเดียวกับการทำนายดวงคนคือ ใช้ดาวจรมาสัมพันธ์กับดวงเดิมหรือดวงกำเนิด จะต่างกันก็เพียงว่า ถ้าดูเพียงดวงเมืองเพียงอย่างเดียว ผลที่ได้อาจไม่ถูกต้องเต็ม 100% ดังนั้น จึงต้องดูดวงผู้นำรัฐบาลประกอบจึงจะคาดการณ์ได้แม่นยำ ถ้าดูดวงเมืองเพียงอย่างเดียวก็จะบอกได้เพียงว่า มีอะไรเกิดขึ้นด้วยและจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ส่วนผลเป็นอย่างไรนั้นศักยภาพของผู้นำเป็นตัวแปรทั้งในแง่ลบและแง่บวก
จากดาวจรที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปจนถึงปี 2570 พอจะคาดการณ์ได้ดังนี้
จากเดือนเมษายน 2565-17 ตุลาคม 2566 ดาวพฤหัสบดีและราหูโคจรในเรือนตนุหรือทับลัคนาดวงเมือง จึงทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกครอบงำ และทำให้การดำเนินการในด้านนี้บิดเบี้ยวเสียรูปทรงตามที่ควรจะเป็น และก่อให้เกิดความกังขาและวิกฤตศรัทธาในหมู่ประชาชนผู้รักความเป็นธรรม และอาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองได้ก่อน 17 ตุลาคมนี้
แต่หลัง 17 ตุลาคมเป็นต้นไป เป็นเวลาปี 6 เดือนราหูโคจรในเรือนวินาศ และดาวพฤหัสบดีโคจรทับลัคนาเมือง และทับเจ้าเรือนลัคนาหรือตนุไปจนถึงต้นปี 2568 กระบวนการยุติธรรมจะกลับมาเข้มแข็ง และมีเที่ยงธรรมมากขึ้น ดังนั้น ผู้กระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะนักการเมืองหลายคนอาจจะถูกฟ้องร้อง และจบลงด้วยการต้องโทษจำคุก
ส่วนในด้านเศรษฐกิจราหูที่โคจรในเรือนวินาศทับดาวศุกร์ พุธ และราหู ประกอบกับดาวมฤตยูทับลัคนาเจ้าเรือนตนุในเรื่องการเงิน เศรษฐกิจของประเทศไทยถดถอยและเจอปัญหาหนักแน่นอน เนื่องจากว่าปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น และหนี้สาธารณะก็เพิ่มด้วย ประกอบกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วแต่ใช้เงินจำนวนมาก จึงทำให้งบประมาณสมดุลอยู่แล้วต้องมากเพิ่มขึ้น
นั่นก็หมายความว่ารัฐบาลต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้น ข้าวของแพงขึ้น การว่างงานมีมากขึ้นและจะนำไปสู่ปัญหาสังคมในหลายรูปแบบเช่น การจี้ปล้นและยาเสพติดจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เป็นผลมาจากความยากจน
ส่วนว่าจะหนักหนาแค่ไหนขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้นำรัฐบาลด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จากพื้นดวงและดวงจรบอกได้เลยว่า ประเทศไทยจากนี้ไปปีครึ่งจะยุ่งเหยิงวุ่นวานจากวิกฤตการเมือง การแบ่งข้างแบ่งขั้วที่ใครต่อใครอยากไม่ให้เกิดจะเกิดขึ้นอีกแน่นอน แต่เปลี่ยนรูปแบบจากการลงถนนเพียงอย่างเดียวเป็นการลงถนนควบคู่ไปกับการแบ่งขั้วทางโลกโซเชียลด้วย
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไม่เข้มแข็งและประชาชนไม่อยู่ข้างรัฐบาล โอกาสที่รัฐบาลภายใต้การนำของคุณเศรษฐา ทวีสิน สะดุดขาตัวเองล้มเป็นไปได้ค่อนข้างสูง