ถ้าย้อนไปถึงยุคที่มนุษย์ยังไม่มีศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจเช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม เป็นต้น ผู้คนในยุคนั้นมีความเชื่อว่ามีสิ่งลี้ลับสิงสถิตอยู่ประจำธรรมชาติต่างๆ เช่น ภูเขา ต้นไม้ รวมไปถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง และลมพายุ เป็นต้น จึงได้กราบไหว้อ้อนวอนมิให้สิ่งเหล่านี้ทำอันตรายแก่ตนและช่วยดลบันดาลให้ประสบสิ่งที่ปรารถนา
จากการที่ผู้คนทั่วไปในสังคมมีความเชื่อเช่นนี้ ได้กลายเป็นโอกาสให้คนบางคนหรือบางกลุ่มซึ่งมีความฉลาดหลักแหลมเหนือคนทั่วไป ได้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษทำหน้าที่ติดต่อกับวิญญาณ โดยการทำพิธีเช่น เซ่นสรวงบูชาด้วยเครื่องสังเวยต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่กำหนดขึ้นโดยอาศัยความชอบของคนชั้นผู้นำในยุคนั้นนั่นเอง และนี่คือที่มาของลัทธิทรงเจ้าเข้าผี และเป็นต้นกำเนิดของลัทธิวิญญาณนิยม
ต่อมาเมื่อมนุษย์เจริญขึ้น และมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติมากขึ้น ลัทธิวิญญาณนิยมก็ได้วิวัฒนาการมาเป็นศาสนาเทวนิยม คือ มีพระผู้สร้างสิ่งต่างๆ ในโลก รวมไปถึงโลกด้วย และพร้อมกันนี้ก็มีบุคคลที่ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างมนุษย์กับผู้สร้าง จึงเป็นศาสดาของศาสนานั้นๆ
ในขณะศาสนาเทวนิยมดำเนินมาได้ระยะหนึ่ง และผู้คนในสังคมเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาการสมัยใหม่มากขึ้น จึงทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับสถานะของผู้สร้างมากขึ้น จึงทำให้ผู้คิดค้นหาคำตอบและทำให้เกิดศาสนาประเภทอเทวนิยมคือ ศาสนาที่ปฏิเสธการมีผู้สร้าง แต่สอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจากเหตุและดับไปเมื่อเหตุดับ รวมไปถึงสอนให้เชื่อกฎแห่งกรรม ศาสนาที่ว่านี้ได้แก่ศาสนาพุทธและศาสนาเชน
ในปัจจุบันศาสนาพุทธได้เจริญรุ่งเรืองและแพร่หลายไปในหลายประเทศทั่วโลก แต่ที่เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงมากที่สุดก็คือ ประเทศไทย ทั้งนี้อนุมานได้จากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนับถือศาสนาพุทธ และที่สำคัญเหนืออื่นใดพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยถึงสมัยปัจจุบันเป็นพุทธมามกะ ประกอบกับมีองค์กรของรัฐมีหน้าที่ปกป้อง คุ้มครองพุทธศาสนา
2. ในปัจจุบันพุทธศาสนามีวัดอันเป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ และเป็นศูนย์กลางเรียนรู้คำสอนพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรมนับหมื่นแห่ง มีพระสงฆ์นับแสนรูป ทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการส่งพระภิกษุไปเผยแผ่ในต่างประเทศด้วย
แต่ถึงแม้ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธ และศาสนาพุทธปฏิเสธการอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสอนให้เชื่อกฎแห่งกรรม ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนส่วนหนึ่งของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระดับรากหญ้ายังเชื่อศรัทธาในสิ่งลี้ลับ ทั้งนี้จะเห็นได้จากข่าวการแห่กันไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เช่น ไอ้ไข่เมืองนคร และเจ้าแม่ที่โน่นที่นี่ เป็นต้น
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีข่าวเกี่ยวกับครูกายแก้วที่มีผู้สร้างรูปขึ้น และนำเข้ามาในกรุงเทพฯ จนเกิดปัญหาติดสะพานลอยจนเป็นข่าวดังทำให้รู้จักมีคนจำนวนหนึ่งเชื่อถือศรัทธา และทราบที่มาของรูปครูกายแก้วว่ามาจากเขมรยุคชัยวรมันที่ 7 ซึ่งไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่ก็พออนุมานได้ว่าเป็นการสร้างรูปจากจินตนาการมากกว่าจากรูปเหมือนของจริง ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังนี้
1. รูปของคนผสมกับนกซึ่งไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริง จะมีก็ในเทพนิยายหรือสัตว์ในป่าหิมพานต์ตำนานของพราหมณ์เท่านั้น
2. ระยะกาลเวลาของต้นกำเนิดกับเวลาที่สร้างรูปของครูกายแก้วต่างกันมาก จนทำให้ความเชื่อมต่อทั้งความเชื่อและมูลเหตุจูงใจในการสร้างรูปเลือนราง จนทำให้หารายละเอียดเกี่ยวกับที่มาได้ยาก นอกจากจะบอกให้ว่าทำขึ้นตามจินตนาการของผู้สร้างเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือและบูชารูปครูกายแก้วก็คือ ผู้เดินตามจินตนาการของปัจเจก มิใช่นับถือและบูชาตามแนวทางแห่งความเป็นจริงและผู้สร้างภาพนี้ที่นครวัดที่เขมรแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนในฐานะเป็นชาวพุทธ จึงใคร่ขอเตือนชาวพุทธให้นับถือศรัทธาตามแนวกาลามสูตรที่บอกให้เชื่ออย่างมีเหตุผล อย่าเชื่อตามคำบอกเล่าและอย่าเชื่อตามตำนาน อย่าเชื่อด้วยการคิดคาดการณ์ของตนเอง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของนักธุรกิจขายศรัทธา เพื่อแสวงหาความร่ำรวย ความโลภ และความกลัวของคน โดยคำนึงผลแห่งการกระทำของตน