xs
xsm
sm
md
lg

การขยายตัวของกลุ่ม “BRICS” กับ “กับดักทิวซิดิดีส”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


การประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ ครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 22-24 สิงหาคม ณ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวะๆ ไปแถวๆ แอฟริกาใต้ แถวๆ กรุงโจฮันเนสเบิร์ก โน่นแหละทั่น!!! อันเนื่องมาจากการประชุม สุมหัว รวมตัว ของบรรดาประเทศซีกโลกใต้ หรือบรรดาพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ทั้งหลาย ตั้งแต่เมื่อช่วงวันที่ 22-24 ส.ค.ที่ผ่านมา หรือการประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” ครั้งที่ 15 ที่นักสังเกตการณ์บางรายเขาถือเป็น “เครื่องหมายสำคัญของประวัติศาสตร์โลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

เพราะไม่เพียงแต่เป็นการพบปะ หารือของบรรดาผู้นำ 5 ประเทศอย่างบราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีนและแอฟริกาใต้โดยลำพังเท่านั้น ในการประชุมคราวนี้เขายังมีมติขยายจำนวนประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นไปอีก 6 ประเทศด้วยกัน อันได้แก่อาร์เจนตินา-อียิปต์-อิหร่าน-เอธิโอเปีย-ยูเออีหรือสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรสต์-รวมถึงอภิมหาเศรษฐีน้ำมันแห่งโลกและตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า อันเป็นอะไรที่คึกคัก โครมคราม ชนิดต้องหันไปจับตาอย่างมิอาจละสายตาไปได้เลย!!!

คือเพราะแค่ 5 ประเทศกลุ่ม “BRICS” เดิมๆ...เฉพาะแค่ดูจากมวลรวม จากสัดส่วนจีดีพีในระดับโลก ก็ปาเข้าไปถึง 37 เปอร์เซ็นต์ แซงหน้า แซงโค้ง กลุ่มประเทศรวยๆ หรือประเทศคนเคยรวย อย่าง “G 7” ชนิดต้องชิดซ้าย ตกคู ตกคลองแถวๆ วัดเบญฯ ไปแล้ว ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา นี่...ยังจะขยายตัวเพิ่มเติม เพิ่มจำนวนสมาชิกขึ้นไปอีก 6 ประเทศ แถมยังมีอีกกว่า 20-30 ประเทศที่รอคิวเข้าร่วมเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกันซะอีกด้วย ดังนั้น...ความเคลื่อนไหวของกลุ่มประเทศที่เรียกตัวเองว่า “BRICS” แม้จะถือเป็นประเทศกำลังพัฒนา เป็นประเทศซีกโลกใต้ แต่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ออกจะเป็นอะไรระเบิดเถิดเทิง ยิ่งเข้าไปทุกที...

ยิ่งในจำนวนสมาชิกใหม่บางประเทศ ล้วนแต่เต็มไปด้วยศักยภาพในด้านการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไปด้วยกันทั้งนั้น นั่นคือ “น้ำมัน” ไม่ว่าจะเป็นอภิมหาเศรษฐีซาอุฯ หรือยูเออี แถมยังมีอิหร่านตามมาด้วยติดๆ การหันมาจับกลุ่ม รวมตัว ร่วมด้วยช่วยกันกับกลุ่ม “BRICS” เลยทำให้นักสังเกตการณ์บางราย อย่างเช่น “นายMichael Goddard” ประธานกลุ่มบริษัทการลงทุน “The Netley Group” เขาถึงกับออกมาฟันธงและฟันเฟิร์มเอาไว้ถึงขั้นว่า ไม่เพียงแต่จะนำไปสู่ “จุดจบของ Petrodollar” เท่านั้น แต่ยังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ การเงิน ตลอดไปจนถึงความมั่นคงของโลกทั้งโลก หรือนำไปสู่ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่ไม่ใช่ระเบียบเดิมๆ อันถูกกำหนด กฎเกณฑ์ หรือถูก “ครอบงำ” โดยพวกโลกตะวันตก โลกเหนือ หรือพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” อย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาประเทศคนเคยรวยอย่างอียู-อีย้วยอีกต่อไป แต่กำลังนำไปสู่โลกแบบใหม่ ยุคใหม่ ระบบ-ระเบียบและกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้...

นี่...อันนี้นี่แหละ เลยคงหนีไม่พ้นต้องจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้เลย เพราะโดยกิริยาอาการของบรรดาผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุมคราวนี้ ก็ออกมาในแนวที่อยากจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข อะไรต่อมิอะไรที่มันดูจะไม่ถูกต้อง เป็นธรรมในสายตาของประเทศเหล่านั้น อย่างเอาจริง-เอาจังและเอาการ-เอางานมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความพยายามที่จะเนรมิตสรรค์สร้าง “ระบบการเงินแบบใหม่” สร้าง “สกุลเงินตราชนิดใหม่” ที่มีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยน (convertibility) ไม่น้อยไปกว่า “เงินยูเอสดอลลาร์” ของคุณพ่ออเมริกา สร้างกลไก “หน่วยชำระทางบัญชี” แบบใหม่ ที่จะก่อให้เกิดอิสระและ “ทางเลือก” สำหรับบรรดาชาติสมาชิกทั้งหลาย โดยไม่ต้องเสียเวลาพึ่งพา งอนง้อต่อบรรดาประเทศซีกโลกเหนือ หรือพวกโลกตะวันตก โลกขั้วอำนาจเดียวต่อไปอีกเลย ไม่ต้องพะวงหน้า พะวงหลัง ต่อการถูกลงโทษ ถูกแซงชั่นและบอยคอต โดยคุณพ่ออเมริกาและพวกพันธมิตรพรมเช็ดเท้าในแต่ละราย ฯลฯ...

ดังนั้น...แม้ว่าการสุมหัว รวมตัว ของบรรดากลุ่มประเทศ “BRICS” และมวลสมาชิกเก่าๆ-ใหม่ๆ ก็ตาม ไม่ได้มุ่งที่จะแข่งขันเอาชนะ-คะคาน หรือคิดจะตั้งตัวเองเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาประเทศรวยๆ หรือที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านใช้คำเรียกว่าพวก “Golden billion” อะไรทำนองนั้น แต่โดย “ทางมวย” หรือ “รูปมวย” มันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สุดท้าย...อาจต้องลงเอยในแบบสุดยอดมวยไทยอย่าง “บัวขาว ป.ประมุข” ที่หนีไม่พ้นต้องเจอกับอภิมหานักชกมวยสากลอย่าง “แมนนี่ ปาเกียว” กันจนได้นั่นแหละทั่น!!! เพราะการเติบโต เติบใหญ่ ของกลุ่มประเทศ “BRICS” ทั้งหลาย ย่อมต้องก่อให้เกิดแรงต้านจากพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือบรรดาผู้ที่ต้องการดำรง รักษา ระบบ-ระเบียบต่างๆ นานา ที่ช่วยให้ตัวเองสามารถ “ครอบงำ” โลกทั้งโลกเอาไว้เช่นเดิม อย่างพวก “Golden billion” ดังที่ผู้นำรัสเซียท่านได้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า ในที่ประชุมคราวนี้ นั่นเอง...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...มันเลยทำให้ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกในอนาคตเบื้องหน้า มันเลยน่าจะเป็นไปอย่างที่ผู้นำจีนประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” ท่านสรุปไว้ในการประชุมครั้งนี้ นั่นแหละว่า... “เราทั้งหลาย...กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลแห่งการเปลี่ยนผ่าน การย้ายขั้ว แบ่งกลุ่ม การรวมกลุ่มขึ้นมาใหม่ อันจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไร้เสถียรภาพ และการพัฒนาของสิ่งที่คาดเดาแทบไม่ได้” โดยภายใต้ฉากสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ถือเป็น “อันตราย” เอามากๆ ในทัศนะของผู้นำจีน ก็คือบรรดาผู้ที่ยังมี “ทัศนะแบบสงครามเย็น” (Cold War Mentality) ที่จะทำให้เหตุการณ์ทางด้านเศรษฐกิจไปจนถึงภูมิรัฐศาสตร์โลก เต็มไปด้วย “ความตึงเครียด” หนักขึ้นๆ อันน่าจะเป็นพวกเดียว ประเภทเดียวกับที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านใช้คำเรียกว่าพวก “Radical Neoliberalism” หรือพวก “ลิเบอร่าน” พวก “เสรีนิยมสุดโต่ง” อะไรทำนองนั้น ที่ซ่อนรูป ซ่อนตัวเอง อยู่ภายใต้คำพูดหรูๆ อย่างคำว่า “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” ที่หวังแก้ปัญหาตัวเองไปพร้อมๆ กับการสูบรีดทรัพยากรและแสวงหากำไรจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย...

โดยแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง มันจะเป็นไปตามที่ผู้นำจีน ผู้นำรัสเซีย ท่านได้วิเคราะห์ ได้ประเมินสถานการณ์ออกมาเป็นฉากๆ หรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด เก็บไปคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกัน ว่าน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ว่ามีน้ำหนักมาก-น้อยขนาดไหน??? แต่ถ้ามองกันแบบ “อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท” ตามแบบฉบับพุทธศาสนาของหมู่เฮาทั้งหลาย อันว่าด้วย “ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป” ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งที่นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันอย่าง “นายGraham T. Allison” ได้ตั้งเป็นสมมติฐาน เป็นทฤษฎีที่รู้จักกันในนาม “Thucydides Trap” หรือ “กับดักทิวซิดิดีส” เอาไว้นานแล้วนั่นแหละว่า เมื่อไหร่ก็ตาม...ที่การผงาดขึ้นมาของ “มหาอำนาจรายใหม่” ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของ “มหาอำนาจรายเก่า” ขึ้นมาแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะก็ สิ่งที่จะอุบัติตามมาอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลยก็คือการปะทะขัดแย้งขั้นแตกหัก ระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง ไม่ต่างไปจากที่อดีตมหาอำนาจชาวกรีกอย่าง “รัฐสปาร์ตา” หนีไม่พ้นต้องทำสงครามกับ “รัฐเอเธนส์” ในอภิมหาสงคราม “Peloponnesian War” ดังที่นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก อย่าง “Thucydides” ได้บันทึกเป็นหลักฐาน เป็นข้อพิสูจน์ ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายต่อหลายพันปีมาแล้วนั่นเอง...

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...โอกาสจะเกิดการหลีกเลี่ยง ประนีประนอม การหา “จุดลงตัว” ระหว่างกันและกันของมหาอำนาจทั้งสอง มันค่อนข้างเป็นอะไรที่ยากเย็น แสนเข็ญ เต็มที อันเนื่องมาจาก “ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป” หรือเป็นไปตามกฎเหล็กแห่งธรรมชาติ กฎอิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาทนั่นแหล่ะ...สหาย!!! หรืออาจต้องถือว่าเป็น “ตถาตา” ถือว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง-มันเป็นพรรค์นั้นแหละ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ปัญหา...จึงอยู่ที่ว่า ใคร? หรือประเทศใดๆ? จะสามารถ “เลือกอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้องตามความเป็นไปทางประวัติศาสตร์” ได้มาก-น้อยไปกว่ากัน!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น