xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของ “ปรัชญาตะวันตก” (ตอนแปด) คนบาป-สู่-บิชอป.. “เซนต์ ออกัสติน”?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เซนต์ ออกัสติน ภาพโดย ซีโมเน มาร์ตีนี(วิกิพีเดีย)
“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

หลังยุค “อริสโตเติล” มีนักปรัชญาตะวันตกมากมาย ที่มีทั้ง “ความคิด” กับ “คำคม” อันโดดเด่น ชวนให้ต้องคิด ต้องถก ต้องเถียง ต้องค้นคว้าหา “ความจริง

“เซนต์ ออกัสติน” นักปรัชญาช่วง ค.ศ.345-430 ผู้ประกาศ “ปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์” ฉบับแรก ให้ความสำคัญกับศรัทธามากกว่าเหตุผล ได้กำหนดวิธีการเขียนชีวประวัติตนเอง โดยงานเขียนของ “ออกัสติน” เน้นหนักในทาง “จิตวิญญาณ” เท่าๆ กับลงลึกเรื่องปรัชญา

ชีวิตกับผลงาน “ออกัสติน” เกิดขึ้นในช่วงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันเกรียงไกร จึงไม่ต้องแปลกใจที่ปรัชญาของเขา ไม่ได้เน้นเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองในฐานะปัจเจกชนกับรัฐเท่านั้น แต่ยังให้ความหมายทางสัมพันธภาพระหว่าง “มนุษย์” กับ “พระเจ้า” อีกด้วย!

“ออกัสติน” เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง ในประเทศที่เรียกกันว่ า“อัลจีเรีย” ในปัจจุบัน
“ออกัสติน” ถูกเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรมหลากหลาย บิดาเป็นชาวนาและข้าราชการชั้นล่างของรัฐบาล มารดาเป็นแม่บ้านนับถือศาสนาคริสต์

ในวัยเด็ก “ออกัสติน” ใกล้ชิดมารดามาก เมื่ออายุ 17 ปี เขาได้นับถือศาสนาคริสต์ และไปเรียนศิลปะการพูดที่ “คาร์ธิจ” อาณาจักรโบราณตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาฟริกา

เมื่อราว 800 ปีก่อนคริสตกาล “คาร์ธิจ” เป็นจุดค้าขายสำคัญในยุคนั้น เนื่องจากเป็นเมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ตรงข้ามกับอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ “คาร์ธิจ” ในปัจจุบันคือประเทศ “ตูนีเซีย”

“คาร์ธิจ” เคยทำสงครามกับโรมันหลายครั้ง แม้จะสามารถต้านทานกองทัพอันเกรียงไกรได้นานหลายปี แต่สุดท้ายถูกโรมันยึดเมื่อราวปี 140 ก่อนคริสตกาล โรมันได้สร้างเมือง“คาร์ธิจ”ขึ้นใหม่ แต่ในปี ค.ศ. 695 ได้ถูก“ชาวอาหรับ”ทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

“คาร์ธิจ”ทำให้“ออกัสติน”เลิกนับถือศาสนาคริสต์ แล้วหันไปนับถือ “ปรัชญากรีก” และศาสนานิกายย่อยอื่นๆ ด้วย รวมถึงลัทธิความเชื่อแบบ “แมนิเคียน” ซึ่งก่อตั้งเมื่อราวศตวรรษที่ 3 โดย “MANI” นักพยากรณ์ชาวเปอร์เซียน แนวคิดสำคัญ คือ “จักรวาลในภาวะที่ความดี(แสงสว่าง) และความเลว(ความมืด) ต่อสู้กันอยู่ตลอด”
จริงครับ.. “สังคมมนุษย์” จากอดีตจรดปัจจุบัน มักเปรียบ “แสงสว่าง” เป็น“ความดี” ส่วน “ความมืด” คือ “ความเลว”

ในยุคดิจิทอลล้ำสมัย “มนุษย์” ยังคงเปรียบ “แสงสว่าง-ความมืด” เป็นดั่ง “ความดี-ความเลว” ใน“มนุษย์” แต่ละคน และ“สองสิ่งนี้” ยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด

อย่างไรก็ตาม.. เชื่อกันว่า “มนุษย์ดี” ยังคงมีมากกว่า “มนุษย์เลว”!..

อืม..ทว่า “เซนต์ ออกัสติน” กับ “นักปรัชญาโลก” รู้ไหมว่า ในยุคดิจิตอลผู้คนพากันหลงเชื่อ “ข่าวสารจากมนุษย์เลว” ที่กระพือชวนเชื่อไม่หยุดหย่อน ก่อให้เกิด“สงคราม”น้อยใหญ่ขึ้นทั่วทุกมุมโลก

“ข่าวสารจากมนุษย์เลว” ปั้นแต่งโดย “กลุ่มชาติมหาอำนาจ” ที่มักบุกรุกเข้าไปยึดครอง “ชาติอ่อนแอ” แสวงหากอบโกย “เงินทอง-ทรัพย์สิน-ทรัพยากรล้ำค่า” กระทำต่อพลเมืองเจ้าของประเทศอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน จนผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ เสมือน“มนุษย์ที่อ่อนแอกว่า” เหล่านั้นมิใช่ “มนุษย์”

“กลุ่มมนุษย์” ผู้มีอำนาจของชาติทุนนิยมสามานย์ ส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวและโหดร้ายอำมหิต ใช้ “กองทัพ” เข้ายึดครอง และสร้าง “ความสุข” ไม่รู้จักพอแก่ตนและพวกพ้อง จากการปล้น “อำนาจ-เงินทอง-ผลประโยชน์”
“กลุ่มมนุษย์สามานย์” เป็นคนส่วนน้อยในสังคมโลก แต่เข่นฆ่า “มนุษย์ผู้อ่อนแอกว่า” อย่างหฤโหด อำมหิตยิ่งกว่า “สัตว์ร้าย” ใดๆในโลก..

เฮ้อ..น่าเศร้า! มิพักต้องพูดถึงสงครามเล็กๆทั่วโลกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เฉพาะใน“สงครามโลก” สองครั้ง “มนุษย์” ถูก “มนุษย์” เข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อน ทั้งที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยโกธรแค้นส่วนตัว!

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ.1914-1918 ทหารกับประชาชนทุกฝ่าย เสียชีวิตมากกว่า 40 ล้านคน! สงครามโลกครั้งที่สอง ค.ศ.1939-1945 ประเมินว่ามีทหารกับประชาชน เสียชีวิตรวมมากกว่า 50 ล้านคน!

นั่นยังไม่รวมมูลค่าความเสียหายมหาศาล ที่เป็น “เงินทอง-ทรัพยากร” สารพัด ชนิดประเมินค่าไม่ได้ ที่ทุกชาติสูญเสีย
ทว่า..ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ชีวิตมนุษย์” ที่บาดเจ็บพิการ บ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากครอบครัวและถิ่นฐาน ถือเป็นเรื่อง “เจ็บปวดรวดร้าว” อย่างยิ่งของ “ทุกครอบครัว”..ที่ไม่มีสิ่งใดเยียวยาได้..

เอ้อ! ที่ “ผม” ลากยาวไปไกลถึง “สงครามโลก” ก็เพราะ คราวใดที่คิดถึง “สงครามโลกครั้งที่สอง”.. ผมมักคิดถึง “อาม่า” เสมอ! นิทานก่อนนอนของ “อาม่า” มักเป็นเรื่องราวครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 บอกเล่าถึงความโหดเหี้ยมและความยากลำบากในการใช้ชีวิตช่วงนั้น..

กลับมาที่ “เซนต์ ออกัสติน”.. เขาใช้ชีวิตวัยหนุ่มที่ “คาร์ธิจ” อย่างสุดเหวี่ยง หาความสุขทางเพศ โดย “ออกัสติน” ได้บรรยายในชีวประวัติไว้อย่างละเอียด ในเรื่อง “คำสารภาพ”!

ทว่า.. “เซนต์ ออกัสติน” ไม่เคยหยุดนิ่งในการแสวงหาความหมายของชีวิต โดยหันหลังให้กับชีวิตที่เขาเรียกว่า “ชีวิตบาป”!

ในปี ค.ศ.387 “ออกัสติน” เข้าพิธีศีลเพื่อเข้าเป็น “คริสตศาสนิกชน” และต่อมาได้เข้าพิธีบวชเป็นพระ ที่หมู่บ้านคริสต์เล็กๆ ชื่อ “ฮิปโป”

“เซนต์ ออกัสติน”อยู่จนได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น“บิชอป” และอยู่ที่หมู่บ้านนี้จนเสียชีวิต..!

“เซนต์ ออกัสติน”ได้รับปรัชญาความคิดในเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลของ“เพลโต”เป็นแม่แบบ ที่ว่า “โลกของประสบการณ์ เวลาและพื้นที่” เป็นสิ่งที่เป็นจริงน้อยกว่า “โลกของความคิด” หรือ “รูปแบบ” แต่ “ความเป็นจริงของรูปแบบ” อันเป็นนิรันดร์นั้น ไม่ได้มีอยู่ในโลกของรูปแบบของ “เพลโต” หากแต่มันมีอยู่จริงใน “จิตของพระเจ้า”?!

สำหรับ “เซนต์ ออกัสติน” เชื่อว่า “อาณาจักรของพระเจ้า” เป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่ “อาณาจักรรูปแบบ” ของ “เพลโต” หากแต่มันอยู่ใน “จิตของพระเจ้า”

ขณะเดียวกัน “เซนต์ ออกัสติน” ก็เห็นด้วยกับความคิดของ“เพลโต” ที่ว่า ไม่มี“ความชั่วบริสุทธิ์” ในจักรวาลนี้ แต่ “สิ่งที่ดีบริสุทธิ์” นั้นมีอยู่จริง!

เพราะ“พระเจ้า” คืออำนาจทั้งปวง และดีในทุกด้าน ความชั่วร้ายคือภาวะที่ไม่มีพระเจ้า เหมือนเช่นความมืดคือภาวะที่ไม่มีแสง การกระทำที่ “ชั่วร้าย” จึงเป็นการกระทำที่ไม่มี “ความดี”!

ปรัชญาที่สำคัญของ “เซนต์ ออกัสติน” จึงยึดหลักอยู่ตรง“ศรัทธาอยู่เหนือเหตุผล”! และ “เหตุผล” จะต้องเข้ามาเกี่ยวกับจิตใจ

“พระเจ้า” เป็นผู้สร้างเหตุผล “พระเจ้า ”ได้มอบเหตุผลให้แก่เรา เพื่อที่เราจะได้เข้าใจตัวเองและพระเจ้า
การรู้จัก “ตัวเอง” และ “พระเจ้า” เป็น “สิ่งสำคัญ” ที่ทำให้เรารู้จักเหตุผล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหนือกว่าความกังวลของ “เพลโต” ในเรื่องการจัดองค์กรสังคมของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ

“เซนต์ ออกัสติน” เชื่อมั่นว่า “พระเจ้า” มอบการตัดสินใจที่เป็นอิสระให้แก่เรา ซึ่งมันเป็นสิ่งจำเป็นในการตัดสินใจเชิงศีลธรรม

“พระเจ้า” เป็นผู้รู้ทุกสรรพสิ่ง จึงรู้ถึงการตัดสินทุกอย่างของเราที่จะมีขึ้น
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราตัดสินใจในสิ่งใดๆ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับศีลธรรม เราจึงไม่อาจตัดสินใจเช่นนั้นได้โดยปราศจากการกล่าวถึง “พระเจ้า”?!

ส่วนความ “ชั่วร้าย” คือภาวะที่ขาดความดี ดังนั้น เมื่อใดที่ขาดเสียงซึ่ง“พระเจ้า” การตัดสินใจของเราก็ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ไร้ศีลธรรม คือการตัดสินใจที่เลวร้าย ภาวะการไร้ศีลธรรมจึงเกิดขึ้น เมื่อเราไม่ยอมให้ “พระเจ้า” เข้ามาเป็นผู้ชี้นำความประพฤติของเรา

ในหนังสือ “นครแห่งพระเจ้า” อันโด่งดังที่สุดของอดีต “คนบาป” ที่เปลี่ยนเป็น “บิชอป” ในนาม “เซนต์ ออกัสติน” ได้บรรยายประวัติศาสตร์ด้วยความคิดของเขา ในภาพของกระบวนการต่อเนื่องเป็นทอดๆ โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างโลก ต่อด้วยการสมสู่ทำให้การสมรสเสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันพิพากษา

“เขา” เรียกร้องให้ “เรา” ควรสร้าง “นครแห่งพระเจ้า” ไม่ใช่ “นครแห่งมนุษย์”

ส่วน “นครมนุษย์” แบบ “ตู่เห-ลี่ยม” ที่มีการ “โกงชาติ” เพิ่มขยายความ “เหลื่อมล้ำ” ไร้ “การปฏิรูปชาติ” ฯลฯ “นครมนุษย์” ที่ชั่วร้ายแบบนี้ “เซนต์ ออกัสติน” กับ “นักปราชญ์ทุกท่าน” รวมทั้ง “คนไทย” กับ “ชาวโลก” ต่างส่ายหัวไม่เอาด้วยว่ะ!
วันนี้-วันหน้า ถ้า “พรรคเหลี่ยม” กับพรรคร่วมรัฐบาลได้ครองเมือง แต่ยังมีพฤติกรรมเดิมๆ ยังทำชั่วให้ชาติเป็นหลัก ก็จะต้องถูก “เปิดโปงประณามสาปแช่ง” อีก.. จริงไหมล่ะ..?

หรือจะเป็น “โจรกลับใจ”? เยี่ยงจาก “คนบาป ”แปรเปลี่ยนเป็น “บิชอป” นาม “เซนต์ ออกัสติน” นักปรัชญาท่านหนึ่งของโลก!


กำลังโหลดความคิดเห็น