"โสภณ องค์การณ์"
อะไรที่ดูตอนแรกนึกว่าง่ายสำหรับแกนนำและบริวารของพรรคนายห้างดูไบในการที่จะกุมอำนาจรัฐ หลังจากชิงมาจากพรรคคนรุ่นใหม่ ก็เห็นได้ชัด ว่ายากเกินคาด
เรียกว่า ยากพอๆ กับการเอาภูเขายัดครกก็คงจะว่าได้
นั่นเป็นเพราะผลการเลือกตั้งไม่ใช่ “วันมามาก” แบบแลนด์สไลด์ตามคาด หลังจากพรรคคนรุ่นใหม่แซงเข้าป้าย
ดังนั้น ย่อมต่อรองให้ได้มากที่สุด เสียหายน้อยที่สุด โดยมีเป้าหมายชัดคือต้องเป็นรัฐบาล ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทำอะไรได้ง่ายเมื่อมีอำนาจ
การเมืองคือเกม ชิงอำนาจต้องมีลูกเล่นหักเหลี่ยมเฉือนคมเพื่อให้ได้เปรียบแม้กระทั่งเป็นเพื่อนร่วมรัฐบาลด้วยกันเพราะเดิมพันสูงนั่นเอง
พรรคนายห้างดูไบจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ต้องเอากลืนน้ำลายลบคำมั่นสัญญาบางอย่างเพื่อให้สำเร็จ
หรือต้องแทงข้างหลังเพื่อนแนว “ประชาธิปไตย” ด้วยกัน เพื่อให้ได้เป็นใหญ่
นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญเพื่อให้นายห้างดูไบได้กลับบ้านมาเลี้ยงหลานตามคำอ้าง ไร้ความทะเยอทะยานทางการเมือง ซึ่งพวกคนรู้ทันก็ไม่เชื่อ เมื่อยังเห็นบงการอยู่หลังฉาก เหมือนพอมีบุญเหลือแต่กรรมยังมี ทำให้ทุกอย่างไม่ราบรื่น
ทุกวันนี้นายห้างดูไบจึงแก้ปัญหาโรคเลื่อนไม่หายขาด เลื่อนวันเวลากลับบ้านได้เกือบ 20 ครั้งในช่วง 17 ปีที่ระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ นี่ก็ยังต้องเลื่อนไปโดยไม่กำหนด จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ และต้องให้คนของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
ความหวังจึงอยู่ที่ลูกสาวว่าจะยอมตัดใจสู้หรือไม่ เมื่อเห็นปัญหารออยู่
นายห้างมีบริวาร ญาติมิตรไปเยี่ยมเยือนก็จริง แต่ไม่ได้หายเหงาอำนาจถาวร ที่ไหนจะอบอุ่นเท่าบ้านเกิด ดูชะตากรรมของพวกลี้ภัยต่างประเทศ อาศัยแผ่นดินเขาอยู่เป็นพลเมืองชั้น 3-4 นานวันยิ่งไร้ความหมายเป็นภาระผู้เสียภาษีของเขา
พรรคนายห้างดูไบจึงดิ้นรนอย่างหนัก อำนาจการต่อรองลดน้อยทุกวัน ยิ่งไม่ได้รับประกันจากวุฒิสมาชิกด้วยแล้ว ตัวแทนพรรคที่เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” มีโอกาสสอบตกสูง
จะหวังใครได้ในยามนี้ กลุ่มฝังแค้นยังจ้องเอาคืนทั้งในสภา และบนถนน
การเมืองหามิตรแท้ลำบากแม้จะเป็นพวกที่เคยร่วมพรรคเดียวกัน เมื่อแยกทางกันแล้วก็เปลี่ยนไป ผลประโยชน์เท่านั้นเป็นตัวตัดสินความยั่งยืนของมิตร
เห็นได้ชัดว่าการเป็นแกนนำแต่หาเพื่อนได้ยากแม้จะมีคนอยากเป็นรัฐบาล การสงวนท่าทีลีลาเป็นเรื่องปกติในการต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรี
ทุกวันนี้ พวกตัวแทนนายห้างดูไปเจรจาต่อรอง อ้างว่าขอให้ตัวแทนชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เสียก่อนแล้วมาพูดเรื่องโควตาตำแหน่ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
ซ้ำร้ายตัวแทนชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของพรรคนายห้างดูไปทั้งสามคนอยู่ในสภาพแปดเปื้อนมากน้อยแล้วแต่ระยะเวลาการผ่านศึกการเมือง
ดังนั้นการรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลก็ไม่ง่ายแล้วจะหวังให้ได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ไม่ง่ายเช่นกัน หรือจะได้ก็ต้องแลกกับเก้าอี้สำคัญ สภาพทุกวันนี้พรรครอร่วมรัฐบาลเปรียบเหมือนอีแร้งนั่งรออย่างใจเย็นรอบซากพรรคนายห้างดูไบซึ่งเริ่มกลิ่นออก
ตัวจริงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีซึ่งคาดว่าจะเป็นเศรษฐีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดูแล้วน่าจะผ่านยากด้วยพฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตและองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ได้รับการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
วุฒิสมาชิกและพรรคฝ่ายค้านต่างลับมีดรอเชือดเมื่อถึงวาระการแสดงวิสัยทัศน์วันที่ 22 สิงหาคมนี้ถ้าไม่ติดวาระอื่นป่วนจนวุ่นเสียเวลาทั้งวัน
ยังไม่แน่เช่นกันว่าแคนดิเดตของพรรคนายห้างดูไบ จะออกอาการถอดใจเสียก่อนหรือไม่เพราะการเปิดโปงต่อเนื่องของเสี่ยอ่างชูแฉ ทำให้เสียหายมาก
การเปิดเพียง 2 รอบแม้บริษัทเป้าหมายการแฉจะตอบโต้ได้ แต่ยังไม่ทำให้สาธารณะหายสงสัย เมื่อเสี่ยชูแฉมีเอกสารซึ่งนำไปฟ้องให้องค์กรต่างๆ สอบสวน
วันจันทร์ที่จะถึงนี้ เสี่ยชูแฉจะมีอีกรายการใหญ่ อ้างว่าจะย้ำหัวตะปูตอกแผลให้ขยายกว้าง ลึกกว่าเดิม จะเป็นคำคุยโวหรือไม่ ก็ยังสร้างความสยองไม่น้อย
เอกสารเป็นตัวประเมินว่าเสี่ยชูแฉเป็นของจริง หรือไร้ราคาตามคำปรามาส
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป้าหมายของเสี่ยชูแฉมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.2 แสนล้านบาท อ้างว่ามีชื่อเสียงยาวนาน แต่จะยับเยินด้วยเหตุข้อมูลที่เพิ่งเปิดเผยหรือไม่
ยิ่งมีการกล่าวหาว่าการใช้นอมินีตัวแทนทำธุรกิจ ก็ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ อาจมีทั้งข้อกล่าวหาเลี่ยงภาษี ฟอกเงิน ขาดธรรมาภิบาล ฉ้อฉล โกงผู้ถือหุ้น
สุดท้ายการฟ้องร้องกันจะต้องไปสู้ในศาล องค์กรต่างๆ ก็ต้องสอบสวน ทำให้เสี่ยอสังหาริมทรัพย์เสี่ยงคดีอาญาถึงขั้นคุกๆ ได้เช่นกัน เสี่ยชูแฉคงเรียกเอกสารมาจากแหล่งต่างๆ เพื่อสู้คดี จะลากผู้บริหารบริษัทลงเหวตามไปด้วย
เรื่องเหล่านี้จะเป็นประเด็นให้วุฒิสมาชิกเอาไปประกอบการพิจารณาว่าจะโหวตให้เศรษฐีค้าบ้านและที่ดินหรือไม่ มองย้อนกลับไป การเข้าสู่การเมืองคุ้มหรือไม่
อยู่เป็นผู้บริหารบริษัท กินรายได้แต่ละปีเป็นร้อยๆ พันๆ ล้าน น่าจะสบายกว่าเยอะ นี่จะต้องมาเสี่ยงกับคุกตะราง ถ้าเป็นคดีจากการผลของ “ชูแฉเพื่อชาติ”
ลูกสาวนายห้างดูไบเพิ่งผ่านอายุ 36 เข้าเกณฑ์เป็นนายกฯ ได้ ต้องให้พ่อเป่ากระหม่อม กลับบ้านแล้วจะโดนมารดาร่ายคาถาซ้ำ ถอนความขลังของพ่อหรือไม่
ดูแล้ว บ้านเมืองจะยังคงวุ่นอีกนาน ม็อบสารพัดออกฤทธิระงับอาการหิวแสงเพื่อวางบิลกับสปอนเซอร์ ลุงห้าวเป้งก็ทำตัวตามน้ำ ไม่รีบร้อน ไม่ปราบปราม ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ยังมีความหวังลึกๆ ว่าอาจได้รักษาการอีกนานรอการโหวตนายกฯ
การเมืองไทยต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่เป็นอเมซิ่งไทยแลนด์นะซิ!