หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
เป็นโชคดีของพรรคเพื่อไทยที่สลัดหลุดจากพรรคก้าวไกลได้ เพราะหากว่าพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลได้แล้วพรรคเพื่อไทยก็จะกินน้ำใต้ศอกของพรรคก้าวไกล ถ้ารัฐบาลก้าวไกลทำดีผลประโยชน์ก็จะตกกับพรรคก้าวไกลพรรคเดียว แต่ถ้าทำไม่ดี ผลพวงก็จะตกกับพรรคเพื่อไทยด้วย เช่นเดียวกับที่เกิดกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปร่วมรัฐบาลกินน้ำใต้ศอกพรรคพลังประชารัฐในสมัยที่ผ่านมาจนพรรคตกต่ำอย่างมากในครั้งนี้
ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสียเอง เพื่อแย่งชิงมวลชนที่มีฐานเสียงทับซ้อนกับพรรคก้าวไกลกลับมา อย่าไปหลงติดกับวาทกรรมฝ่ายประชาธิปไตย เพราะเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาไม่ได้มีอยู่จริง เพราะทุกพรรคการเมืองก็ลงเลือกตั้งภายใต้กติกาเดียวกันแล้วจะยกให้บางพรรคเป็นฝ่ายประชาธิปไตยไปได้อย่างไร มันก็เป็นฝ่ายประชาธิปไตยกันทั้งหมดนั่นแหละ
พรรคของทักษิณตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นต้นมาเคยได้เสียงถึง 17-18 ล้านเสียง แต่เที่ยวนี้เหลือประมาณ 11ล้านเสียง ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยต้องคิดว่าจะแย่งชิงฐานมวลชนจากพรรคก้าวไกล14 ล้านเสียงกลับมาได้อย่างไรก็อยู่ที่ว่าหากการจัดตั้งรัฐบาลเที่ยวนี้ของพรรคเพื่อไทยจะประสบความสำเร็จสามารถบริหารเพื่อเรียกความนิยมกลับมาได้ไหม
เพราะตอนนี้มีคนพูดกันมากว่าหากพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลเที่ยวนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลจะกวาดเก้าอี้จนสามารถตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว และเที่ยวหน้าไม่มีเสียงของสว.ที่จะมาทัดทานพลังของพรรคก้าวไกลด้วยแล้ว แต่ส่วนตัวผมกลับมองว่ามีคนไม่น้อยที่เริ่มมองเห็นว่า พรรคก้าวไกลเป็นปัญหาในอนาคตที่จะนำสังคมไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง
ผมไม่คิดว่า 14 ล้านเสียงที่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลจะเป็นฮาร์ดคอร์ของพรรคก้าวไกลเสียทั้งหมด เชื่อเลยว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเปลี่ยนประเทศไปจากระบอบ 3 ลุงจึงตัดสินลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน อาจจะมีบ้างที่ลุ่มหลงกับนโยบายประชานิยมของพรรคก้าวไกลไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทขึ้นทุกปี ผู้สูงวัยรับ 3,000 บาท ลาคลอดได้ 5,000 บาท 6 เดือน ตายได้ศพละ 10,000 บาท ฯลฯ
และคนจำนวนไม่น้อยหลงผิดไปกับกระแสโซเชียลมีเดียที่พรรคก้าวไกลสามารถยึดครองได้สำเร็จว่า พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมจนสร้างอุปทานหมู่ว่าต้องให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศของเรา คนจำนวนไม่น้อยลุ่มหลงไปกับการชวนเชื่อที่พรรคก้าวไกลสามารถยึดครองสื่อกระแสหลักได้ว่า คนรุ่นใหม่มีความคิดที่ดีกว่าคนรุ่นเก่า
ทั้งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยทำอะไรประสบความสำเร็จในชีวิตมาก่อน นอกจากความรู้ตามตำราที่เรียนมาแต่ไม่เคยมีผลงานในทางปฏิบัติอะไรมาก่อนเลย จนเมื่อพรรคก้าวไกลเปิดตัวคนที่จะเข้ามาบริหารประเทศและได้ฟังวิสัยทัศน์ของคนเหล่านั้นก็เกิดคำถามว่าคนเหล่านั้นจะสามารถนำพาประเทศของเราไปได้จริงๆหรือ
และเมื่อเลือกตั้งแล้วคนที่เลือกพรรคก้าวไกลจำนวนไม่น้อยก็เห็นความมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเขา จนทำให้ตั้งคำถามว่า ทำไมพรรคก้าวไกลต้องหมกหมุ่นกับการแก้ไขมาตรา 112 จนยอมทิ้งนโยบายต่างๆ ที่จะกลายเป็นสวัสดิการของรัฐที่ประชาชนได้ประโยชน์หากพรรคก้าวไกลทำได้จริงจากกว่า 200-300 นโยบายที่ใช้ในการหาเสียง คนจำนวนไม่น้อยมองเห็นแล้วว่า หากพรรคก้าวไกลเดินหน้าจะแก้ไขมาตรา 112 ให้ได้นั้นจะนำมาสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงในบ้านเมืองอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่คนหนุ่มสาวในยุคนั้นต้องการล้มล้างเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐไปเป็นระบอบคอมมิวนิสต์
วาระซ่อนเร้นของพวกเขาเรื่องมาตรา 112นั้นถูกเปิดโปงขึ้นเรื่อยๆ ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการช่วยเหลือกลุ่มคนที่พวกเขาสนับสนุนผลักดันให้ออกมาท้าทายกฎหมายและท้าทายระบอบของรัฐทั้งคนที่อยู่ในประเทศและหลบหนีไปต่างประเทศ โดยทำให้คนเชื่อว่ากฎหมายมีปัญหาเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง และพวกเขาต้องการไต่เพดานขึ้นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริง และกลายเป็นประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมตามจุดมุ่งหมายที่พวกเขาได้ประกาศวาจาเอาไว้
คำถามที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามก็คือ พรรคก้าวไกลมีอะไรนักหนาที่จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมือง และทุกวันนี้พระมหากษัตริย์ได้ทรงปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่แล้วในหลายๆ ด้าน เจตนาที่คนส่วนใหญ่มองเห็นก็คือ พรรคก้าวไกลไม่ได้มีความมุ่งหวังจะให้สถาบันสามารถดำรงอยู่ได้สังคมปัจจุบันอย่างที่ชอบอ้างหรอก เพราะการแสดงออกของพรรคก้าวไกลและความก้าวร้าวหยาบคายของมวลชนที่พรรคก้าวไกลหนุนหลังก็บ่งบอกแล้วว่า มีจุดมุ่งหมายที่ซ่อนเร้นกว่าคำพูดที่แสดงออกมา
เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องบอกว่าพอแล้วกับความขัดแย้งในสังคมไทยที่เขาต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองจากความขัดแย้งแตกแยกของคนไทยมาเกือบสองทศวรรษ และอยากให้สังคมไทยเข้าสู่ภาวะปกติเพื่อตั้งรับกับวิกฤตทางเศรษฐกิจที่กำลังถาโถม พูดแบบชาวบ้านก็คือ ขอเวลาให้ได้ทำมาหากินบ้าง
โดยเฉพาะคนไม่น้อยเริ่มรับไม่ได้กับความหยาบคายถ่อยสถุนก้าวร้าวของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มทะลุวังที่เป็นมวลชนของพรรคก้าวไกลที่ทำให้คนในสังคมรับกับพฤติกรรมของคนเหล่านี้ไม่ได้มากขึ้นทุกที และเริ่มตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่กฎหมายจะจัดการกับคนเหล่านี้ที่ทำตัวเป็นกากเดนเหลือขอของสังคมมากขึ้นทุกที
สิ่งเหล่านี้เป็นการบ้านของพรรคเพื่อไทยหากสามารถเข้ามาบริหารประเทศได้สำเร็จ รวมไปถึงต้องทบทวนกับความผิดพลาดของรัฐบาลในอดีตทั้งรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ที่กลายเป็นชนวนทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองซึ่งทำให้สังคมติดหล่มความขัดแย้งอย่างยาวนาน การใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลของรัฐบาลใต้อำนาจระบอบทักษิณที่ผ่านมาที่ทำให้คนไทยแตกแยกออกเป็นสองฝ่ายนั้นเป็นบทเรียนที่พรรคเพื่อไทยต้องทบทวน เพราะ ณ เวลานี้ความขัดแย้งของเสื้อสีระหว่างแดงกับเหลืองเริ่มจะคลี่คลายแล้ว เพราะต่างก็มองเห็นแล้วว่าฝ่ายไหนที่เป็นอันตรายสำหรับสังคมไทยที่แท้จริง
เราต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นพรรคของทักษิณนั่นแหละ ทักษิณมีบทเรียนมาแล้วจากทั้งตัวเองและน้องสาว เขาน่าจะรู้ดีว่า หากเขาต้องการกลับมาอยู่ในประเทศนี้และไม่ทำให้พรรคของเขาเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีกเขาจะต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และวันนี้เขาต้องสรุปบทเรียนที่พรรคของเขาพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งต่อพรรคก้าวไกลในครั้งที่ผ่านมาและต้องตระหนักว่าพรรคของเขานั้นไม่ใช่พรรคที่จะผูกขาดชนะการเลือกตั้งเหมือนกับทุกครั้งในอดีตตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคไทยรักไทยแล้ว
วันนี้มนต์ขลังของทักษิณไม่หมือนเดิม แม้ว่าจะมีคนที่ยังหลงไหลในมนต์ของประชานิยมที่ระบอบทักษิณเคยหยิบยื่นให้ แต่มีคนไม่น้อยที่เปลี่ยนไปเพราะหลงเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ในนามของพรรคก้าวไกลนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไปตามที่พวกเขาปรารถนาได้มากกว่า
ต้องยอมรับว่า ตอนนี้พรรคของฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นอ่อนแอมากจนยากที่จะต้านทานความแรงของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคเดียวที่พอจะมีความหวังที่จะรับมือกับพรรคก้าวไกลได้
แม้ฝ่ายอนุรักษนิยมและระบอบทักษิณจะมีความบาดหมางที่ร้าวลึกกันมายาวนาน มีคนจำนวนมากบาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่าย แต่สถานการณ์ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าปฏิเสธไม่ได้ว่ายากจะตั้งรับกับความแรงของพรรคก้าวไกลที่สามารถครอบงำสื่อใหม่และสื่อกระแสหลักจนสามารถกล่อมเกลาคนรุ่นใหม่และคนชั้นกลางจำนวนมากให้กลายเป็นพลังที่ท้าทายสังคมไทยและระบอบของรัฐได้แล้ว
มีบางคนบอกกับผมว่าฝ่ายอนุรักษนิยมอาจจะต้องทำใจพักความบาดหมางกับระบอบทักษิณลงไปเสีย ซึ่งแน่นอนว่าจะคงยังมีคนไม่น้อยที่ไม่อาจยอมรับผลการกระทำที่เกิดจากระบอบทักษิณในอดีตได้และคงต้องใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างหนัก แต่ถามว่าจะมีทางเลือกมากกว่านี้ไหม
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan