xs
xsm
sm
md
lg

รับมือกับคลื่นคลั่งและพายุบ้า ที่ก่อตัวในนามของพรรคก้าวไกล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 ความสำเร็จของพรรคก้าวไกลในการขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 1 ในเวลาไม่กี่ปีนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในทางการเมืองไทย เพราะพรรคไทยรักไทยของทักษิณสามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2544 สามารถกวาดที่นั่งได้ถึง 248 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง แต่พรรคก้าวไกลที่เราตื่นเต้นผลการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เพียง 151 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่งเท่านั้นเอง

 ต่างกันที่ภาพของทักษิณผู้ก่อตั้งพรรคในครั้งนั้นเป็นภาพของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่ภาพของผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่จนมาเป็นพรรคก้าวไกลตั้งแต่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล มาจนถึงพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ที่รับไม้เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้นไม่ได้ปรากฏว่ามีประวัติทำอะไรประสบความสำเร็จมาก่อน

ธนาธรเป็นเพียงคนที่รับช่วงบริหารต่อจากความสำเร็จของพ่อที่เสียชีวิตไปในเวลาอันควรและมีแม่เป็นแบ็กอัพในการทำธุรกิจ ไม่ได้สะท้อนความสามารถอะไรของตัวเอง ส่วนปิยบุตรนั้นก็เพียงนักวิชาการด้านกฎหมายที่การพลาดท่าในทางกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่หลายๆ เรื่องนั้นทำให้เขาถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเข้าใจกฎหมายในทางทฤษฎีหรือตำรามากกว่าในทางปฏิบัติ

ส่วนพิธานั้นก็ชัดเจนว่าประสบความล้มเหลวในการสืบทอดธุรกิจของพ่อที่เสียชีวิตไปในวัยอันควรเช่นเดียวกัน และถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องธรรมาภิบาลด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ว่า แกนนำของพรรคอนาคตใหม่และส่งต่อมาเป็นพรรคก้าวไกลนั้นไม่มีโปรไฟล์ของความสำเร็จและประสบการณ์การทำงานที่น่าประทับใจเลย และมองไปถึงรุ่นต่อไปที่จะมารับไม้ต่ออย่างพริษฐ์ วัชรสินธุ์ ก็ไม่มีประสบการณ์การทำงานเช่นเดียวกัน เป็นเพียงแต่แต่ละคนมีดีกรีจากการศึกษาที่ใหม่แกะกล่องออกมาจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น

 น่าสงสัยเหมือนกันว่าถ้าพวกเขาสามารถเข้ามาบริหารประเทศสำเร็จ เขาจะสามารถบริหารประเทศในสภาวะที่เรียกโลกยุคนี้ว่ายุค VUCA WORLD โลกยุคที่มีความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความสลับซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity)ได้หรือไม่ มีคนหลายคนเปรียบเปรยว่า ถ้าเราจะต้องเข้าผ่าตัดเราจะยอมให้หมอที่จบมาใหม่ลงมือผ่าตัดเราไหม

พวกเขาก็มีไอดอลเป็นคณะราษฎรที่เร่าร้อนจากการศึกษาที่เล่าเรียนมาจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน และสามารถหลอกลวงทหารออกมาด้วยเล่ห์เพทุบายจนทำรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จและสุดท้าย ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกเขาก็สารภาพในภายหลังว่า “เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ก็ไม่มีประสบการณ์ แต่เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ ก็ไม่มีอำนาจ” ซึ่งสะท้อนถึงความผิดพลาดในสิ่งที่ทำไปในวันเวลาอันควร แต่กว่าปรีดีจะรู้ตัวเขาก็ล่วงเลยมาในวัยชราเสียแล้ว

ตอนที่ปรีดี อายุ 79 ปีแล้วเขาก็ได้สารภาพว่าพวกเขามีเพียงความรู้ที่เรียนมาจากตำราเท่านั้น

“ในปี ค.ศ. 1925 เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี (ของกฎหมายเปรียบเทียบ) ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด และโดยปราศจากความเจนจัด บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตํารา ข้าพเจ้าไม่ได้นําเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคํานึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคํานึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี

ในปี ค.ศ. 1932 ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทําการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอํานาจ”

นี่เป็นคำสารภาพของปรีดีในปี พ.ศ. 2522 ต่อนายแอนโทนี พอล ผู้สื่อข่าวนิตยสาร เอเชียวีค ประจำกรุงปารีส ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส

คนหนุ่มสาวของพรรคก้าวไกลที่ห้าวหาญและรุ่มร้อนแม้หลายคนวันนี้จะมีอายุเลยปรีดีมาแล้วในวันที่ปรีดีมีอำนาจก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีความรู้มากกว่าไปทางทฤษฎี ความรู้ของพวกเขาเป็นเพียงความรู้ตามหนังสือ ถ้าเราไปศึกษาประวัติชีวิตการทำงานของเขาอย่าว่าแต่ธนาธร พิธา ปิยบุตรเลย แม้แต่ ชัยธวัช ตุลาธน ศิริกัญญา ตันสกุล ที่พวกเขาวางตัวเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ไม่มีประวัติการทำงานอะไรที่ชัดเจนมาเช่นเดียวกัน ลูกพรรคแต่ละคนของพวกเขาก็เช่นเดียวกันที่คนจำนวนมากออกไปเลือกโดยไม่รู้จักเลยว่าเป็นใครมาจากไหนและสุดท้ายก็ได้นักชิงทรัพย์มาคนหนึ่ง

แต่ต้องยอมรับว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการปลุกปั่นคนรุ่นใหม่จำนวนมากให้เชื่อ เมื่อดูคะแนนเสียงที่พวกเขาชนะเลือกตั้งแล้วอาจจะพูดได้ว่า คนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งครั้งหน้าปี 2570 หากอายุสภาชุดนี้อยู่ครบ 4 ปีที่คนที่มีอายุอย่างต่ำ14 ปีวันนี้จะได้มีโอกาสเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีคนเพิ่มมาอีกกี่ล้านเสียงที่จะกลายเป็นเครื่องมือของพวกเขา เพราะต้องยอมรับว่า คนรุ่นนี้จำนวนมากที่หลงเชื่อและศรัทธาพวกเขา หากเราไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่พวกเขาจะนำพาชาติของเราเดินไป


พวกเขาสามารถทำให้คนรุ่นใหม่มองสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติมาอย่างยาวนานด้วยสายตาที่เป็นลบ และมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย พวกเขาดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาใช้เป็นข้ออ้างว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือขัดขวางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้ระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่พวกคณะราษฎรผู้ขาดประสบการณ์มีแต่ความรู้ในตำราทำรัฐประหารแย่งชิงอำนาจ และเมื่อพวกเขาปลุกปั่นให้คนรุ่นใหม่ให้ร้ายสถาบันด้วยความหยาบคายและถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เขาก็กล่าวหาอีกฝ่ายว่าใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

พวกเขาทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ภูมิใจในวัฒนธรรมและความเป็นชาติไทยไม่ภาคภูมิใจในรากเหง้าประวัติศาสตร์ของการสร้างชาติ ความเป็นไทยเป็นเรื่องที่ล้าหลังในสายตาของพวกเขา เราได้ยินธนาธรสอนคนรุ่นใหม่ว่าไม่ต้องนับถือศาสนาใด ไม่ต้องเข้าวัดโบสถ์มัสยิด ไม่ต้องนับถือพระเจ้าองค์ไหน แต่เราก็เห็นพวกเขาไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราเห็นพวกเขาปลุกปั่นคนรุ่นใหม่มาท้าทายต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นลูกหลานของคนอื่นไม่ใช่ลูกหลานของพวกเขาเอง

พวกเขาบ่มเพาะสั่งสอนกันตั้งแต่ไม่ต้องมีบุญคุณกับพ่อแม่ที่เกิดและเลี้ยงดูมา ไม่ต้องมีบุญคุณกับครูบาอาจารย์ เพราะเราจ่ายเงินมาเรียน ราวกับย้อนกลับไปยุคคอมมิวนิสต์ ยุคเรดการ์ดของจีนแผ่นดินใหญ่ที่แม้แต่พ่อแม่ ลูกหลานก็ไม่ละเว้นถ้าไม่วิจารณ์ตนเองก็จะถูกลูกบังคับให้คุกเข่าขอโทษแล้วนำสมบัติที่พ่อแม่สั่งสมมาเผาเพราะเป็นตัวแทนและสัญลักษณ์ของศักดินา บางครั้งเราจึงเห็นเด็กกลุ่มนี้ชูธงแดงคอมมิวนิสต์ในที่ชุมนุม

แต่การเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ของคนรุ่นใหม่ที่จะมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในครั้งหน้าที่จะกลายเป็นเครื่องมือของพรรคก้าวไกลอาจทำให้พรรคนี้เติบโตขึ้นเกินจะยับยั้ง แม้ว่าวันนี้คน 14 ล้านเสียงที่ออกไปเลือกพรรคก้าวไกลจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมพรรคการเมืองพรรคนี้จึงมุ่งมั่นที่จะต้องแก้ไขมาตรา 112 ให้ได้ ถ้าเขามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างชาติพัฒนาบ้านเมืองตามนโยบายอื่นๆ ที่ประกาศไว้ เพียงแต่พวกเขาละทิ้งความคิดที่จะยกเลิกมาตรา 112 ไปเสียพวกเขาก็มีโอกาสที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองแล้ว

 มันชวนให้คิดว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีความมุ่งหมายที่ลึกล้ำกว่านั้นใช่ไหม พวกเขาต้องการใช้มาตรา 112 ไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาใช่ไหม และหากบรรลุเป้าหมายนั้นแล้วก็มีคำถามว่าพวกเขาจะไปไกลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐหรือไม่

คน 14 ล้านคนอาจจะมีจำนวนไม่น้อยที่หลงไหลฝักใฝ่ไปตามอุดมการณ์ของแกนนำพรรคก้าวไกลทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่ก็คงมีคนไม่น้อยที่เลือกพรรคนี้เพราะต้องการการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้พ้นไปจากอำนาจของ3ลุง บางคนก็เห็นดีเห็นงามไปตามลูกหลาน หรือหลงคิดว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะสามารถนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความรุ่งเรืองได้ ก็ได้แต่หวังว่าในครั้งหน้าจะมีคนใน 14 ล้านนั้นตระหนักและทบทวนต่อการตัดสินใจที่ผ่านมา

 หากครั้งนี้เราสามารถตั้งรับการความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายนี้ได้ เราคงต้องทำให้คนส่วนใหญ่ตระหนักและหาทางออกร่วมกันว่า ในอนาคตข้างหน้าเราจะรับมือกับกระแสคลื่นคลั่งที่โถมครืนและพายุบ้าที่โหมกระหน่ำนี้ให้ชาติและลูกหลานของเรารอดพ้นได้อย่างไร

ติดตามผู้เขียนได้ที่
 https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น