xs
xsm
sm
md
lg

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
จะต้องรอไปอีก 10 เดือนข้างหน้า...ถึงจะได้มี “นายกรัฐมนตรี” คนใหม่ ดังที่ “ม็อบค.-ม็อบห.” เขาคาดคั้นและบีบเค้นเอาไว้ หรือจะต้องฝ่าด่าน “ทัวร์ลง” หันไปจับขั้ว-ย้ายขั้ว เพื่อหา “จุดลงตัว” กันใหม่ หรือไม่? เพียงใด? โดยบรรยากาศความเป็นไปเช่นนี้...ก็เล่นเอาบรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลาย น่าจะ “ปวดหัวตายห่า” กันไปมิใช่น้อย สำหรับการเมืองบ้านเรา...

แต่ถึง “เปิดฝากะลา” ออกไปมองโลกทั้งโลก...เผลอๆ อาจหนักหนา-สาหัสยิ่งกว่า โดยเฉพาะสำหรับการหาทางออกทางไป หรือ “ทางรอด” ของบรรดาพลโลกทั้งหลาย ปิดท้ายสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตลองไปสำรวจตรวจสอบ สิ่งที่กำลังเป็น “ปัญหา” และ “ตัณหา” อันก่อให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่เรื่องการเอาชนะ-คะคานระหว่างพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” อันประกอบไปด้วยคุณพ่ออเมริกาและบรรดาชาติยุโรปประเภทอียู-อีย้วยแต่ละรายเป็นแกนหลัก กับพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” อันมีคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย รวมทั้งประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” จำนวนไม่น้อยร่วมกันผลัก ร่วมกันดัน จนหวิดๆ จะนำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” ยิ่งเข้าไปทุกที แถมอาจกลายเป็นสงครามระดับ “นิวเคลียร์-ไม่นิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้!!! โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการไม่คิดจะลดรา-วาศอก ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรือรัสเซียกับนาโตทั้งนาโต ที่ยังหาจุดจบ จุดลงตัว ยังไม่เจอ จนตราบเท่าทุกวันนี้...

คือถึงแม้จะมีความเพียรพยายามนำเสนอแนวทาง “สันติภาพ” มาแล้วหลายครั้ง หลายหน ไม่ว่าโดยบรรดาประเทศต่างๆ เช่น ตุรกี-ตุรเคีย คุณพี่จีน ไปจนถึงผู้นำชาติแอฟริกาแทบจะทั่วทั้งแผง หรือล่าสุด...ด้วยการประชุมหารือถึงแผนสันติภาพที่ซาอุดีอาระเบีย โดยมีอเมริกา-ยุโรป ชาติเอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกาเข้าร่วมด้วย แต่ดันไปกีดกันผู้ที่อยู่ในวงจรความขัดแย้งอย่างรัสเซียไม่ให้มีโอกาสพูดคุยเจรจาด้วยเลย ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้...เลยไม่เพียงแต่ไม่อาจก่อให้เกิดสันติภาพใดๆ ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจังแต่ยังมิอาจหยุดยั้งความกระเหี้ยนกระหือรือในการยุแยงตะแคงรั่ว การก่อ “สงคราม” ที่ดำเนินต่อเนื่องนับเป็นปีๆ เข้าไปแล้ว แถมทำท่าว่าอาจขยายเขต ขยายวงลามไปถึง “สมาชิกนาโต” อย่างโปแลนด์เอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะเมื่อความปรารถนาที่จะผนวกดินแดนภาคตะวันตกของยูเครนไปเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ยังถือเป็นข้อระแวง สงสัย ของคุณน้ารัสเซีย ชนิดที่ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” อดไม่ได้ต้องออกมาตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนล่วงหน้า หรือต้องเปิดทางให้ผู้นำเบลารุส ประธานาธิบดี “ลูคาเชนโก” ออกมา “ขู่” ออกมา “เขียนเสือให้วัวกลัว” ว่าด้วยกรณีทหารรับจ้างกลุ่ม “วากเนอร์” คิดจะบุกกรุงวอร์ซอเอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่ถึงแม้ไม่ลุกลาม ลามปาม ขยายเขต ขยายวง...เพียงแค่ความตึงเครียดในการเผชิญหน้า ระหว่าง “ตัวตลก-ตัวแทน” ของอเมริกา-ยุโรป อย่างกองทัพยูเครนกับกองทัพรัสเซีย ก็เล่นเอาใครต่อใคร “หายใจไม่ทั่วท้อง” ยิ่งเข้าไปทุกที เพราะความพยายามโจมตี-ตอบโต้เพื่อให้ “เข้าตากรรมการ” ของฝ่ายยูเครน นับวันจะเร่าร้อน-รุนแรง กระเดียดไปทาง “การก่อการร้าย” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ไม่ใช่แค่เฉพาะการส่งเครื่องบินโดรนไปถล่มสะพานไครเมีย หรือเมืองต่างๆ ในรัสเซีย แต่กระทั่งความพยายามโจมตี “โรงงานนิวเคลียร์” ที่อยู่ภายใต้การครอบครองของรัสเซีย ก็ทำให้กองทัพนาซีใหม่ของยูเครนและบรรดาผู้สนับสนุนถูกเรียกขานโดยชาวรัสเซียว่า “Nuclear Terrorism” ไปแล้วถึงขั้นนั้น โอกาสที่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” จะกลายสภาพไปเป็น “สงครามนิวเคลียร์” จึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย ยิ่งเมื่อคู่ขัดแย้งรายสำคัญอย่างคุณพ่ออเมริกา ดันอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแล ของผู้ที่อดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” ท่านถึงกับให้ชื่อ ฉายาว่า “Dumb-son of a bitch” หรือไอ้โง่...ลูกคุณสุวรรณมาลี!!! อะไรทำนองนั้น เช่นเดียวกับผู้กำกับหนังชื่อดังฮอลลีวูด “โอลิเวอร์ สโตน” ที่ออกมาสรุปในทิศทางเดียวกันว่าด้วยความโง่ของผู้นำอเมริกันอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” นั่นเอง ที่อาจนำพาชาวอเมริกันเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” จนได้!!!

แต่สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ใครชนะ-ใครแพ้ ใครเป็นฝ่ายได้-เสียเปรียบก็แล้วแต่ สิ่งที่น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง และ “อันตราย” ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการที่โลกทั้งโลกได้ย่างเข้าสู่ยุค “โลกเดือด” ไม่ใช่แค่อุ่นๆ-ร้อนๆ หรือที่เรียกกันว่ายุค “โลกร้อน” ต่อไปอีกแล้ว อันนี้...เอามาจากคำพูด คำจาของท่านเลขาธิการสหประชาชาติที่เพิ่งพูดเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (28 ก.ค.) นี่เอง ว่ามันไม่ใช่แค่ยุคโลกร้อนต่อไปอีกแล้ว แต่มันเริ่มเข้าสู่ยุคโลกเดือดพล่าน เดือดปุดๆ หรือ “Era of global boiling” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน โดยอาศัยข้อมูล ตัวเลข สถิติของอุณหภูมิอากาศนับแต่ช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ส่งผลให้ซีกโลกเหนือแทบทั้งแถบ ร้อนฉ่า ร้อนเร่า เหมือนอยู่ในหม้อต้ม ไปตลอดทั่วทั้งภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ไล่มาตั้งแต่กรีซ อิตาลี อัลจีเรีย สเปน ฯลฯ ที่เกิดไฟป่าเผาผลาญวอดวายไปเป็นแถบๆ ยันไปถึงอเมริกาเหนือ ในขณะที่ซีกโลกใต้เจอกับน้ำท่วม น้ำไหลบ่า บ้านเป็นหมื่นๆ หลัง รถยนต์นับร้อยๆ คันในเมืองจีน ลอยเท้งเต้งไปตามถนนในมณฑลฝูเจี้ยน กวางตุ้ง ฯลฯ ดังที่ใครต่อใครเอามาโพสต์ เอามาแชร์ กันในทุกวันนี้...

และก็คงอย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายAntony Blinken” พูดไว้ในรายการ “60 Minutes” ของออสเตรเลียเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่แล้ว (30 ก.ค.) นั่นแหละว่า เอาไป-เอามาแล้ว “สงครามนิวเคลียร์” อาจเลวร้ายน้อยเสียยิ่งไปกว่า “สงครามกับธรรมชาติ” หรือกับ “การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะอย่างที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น “Stephen Hawking” อัจฉริยะระดับน้องๆ ไอน์สไตน์ “Arthur C. Clark” ผู้รังสรรค์นิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “2001:A Space Odyssey” ไปจนถึง “Sir Martin Rees” ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์และอวกาศแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ฯลฯ เขาเคยตัดสินใจหมุนเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก หรือ “Doomsday Clock” อันถือเป็น “สัญลักษณ์” ของการเตือนภัยแห่งเหตุการณ์ทำลายล้างระดับกลียุค ตั้งแต่เมื่อ 16 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 เอาไว้ที่ 11.43 น. ห่างจากช่วงเวลาเที่ยงคืน (minutes to midnight) หรือช่วงเหตุการณ์ทำลายล้างเพียงแค่ 17 นาทีเท่านั้นเอง ด้วยเหตุผลเพราะเรื่องโลกร้อน หรือเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศนี่แหละเป็นหลัก...

หรืออย่างที่ “Stephen Hawking” ออกมาสรุปไว้ในช่วงนั้นนั่นแหละว่า... “เหตุที่ภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน กำลังกลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฉากเหตุการณ์กลียุคเกิดขึ้นได้มากกว่าภัยจากการก่อการร้ายหรือภัยจากอาวุธนิวเคลียร์นั้น ก็เนื่องจากว่าภัยจากการก่อการร้ายหรือการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ อาจส่งผลให้ผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย ระดับเป็นแสนๆ แต่สำหรับภัยจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ซึ่งกำลังปรากฏให้เราเห็นในทุกวันนี้ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งมันอาจล้างผลาญผู้คนนับเป็นจำนวนล้านๆ...” หรือมันอาจก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ในแบบที่อภิมหานักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ “Dr.James E. Lovelock” ผู้ค้นคิด “ทฤษฎีกายา” (Gaia hypothesis) เคยวาดภาพไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “The Revenge of Gaia” ประมาณว่า... “มันจะเกิดยุคแห่งความร้อน (Heat Age) ที่ร้อนชนิดโลกทั้งโลกปราศจากน้ำแข็งแทบโดยสิ้นเชิง และสิ่งที่ตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ หรือแบบที่คาดไม่ถึง ก็คือ...พายุร้ายที่จะทวีความรุนแรงถึงขีดสุดและมีอัตราถี่ยิ่งขึ้นๆ ปริมาณป่าฝนอันเขียวขจีหลายต่อหลายพื้นที่ในโลกนี้จะถูกแปรสภาพให้เป็นพื้นที่น้ำท่วมเฉียบพลัน สลับกับความแห้งแล้งแบบทะเลทรายใจกลางทวีปออสเตรเลีย” และ “ภายในไม่เกินศตวรรษที่ 21 ผู้คนจำนวนนับพันๆ ล้าน จะต้องล้มตาย ส่วนผู้เหลือรอดซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก อาจต้องอพยพไปอาศัยอยู่ในบริเวณแถบเขตอาร์กติก อันเป็นพื้นที่ซึ่งสภาวะอากาศยังอยู่ในสภาพพอทนได้...”

นี่...มันน่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยอง พองขน ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน ก็ลองไปหลับตานึกภาพเอาเองก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าใครชนะ-ใครแพ้ ระหว่างพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายหนีไม่พ้นต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่กลายเป็น “โลกเดือด” ไปเรียบร้อยแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย ส่วนบ้านเราที่แม้กำลังเจอกับ “ม็อบค.-ม็อบห.” หรือเจอกับการ “ย้ายขั้ว-เปลี่ยนขั้ว” จนไม่อาจจินตนาการถึงเหตุการณ์ข้างหน้าได้ถนัดชัดเจน ก็คงเป็นแค่เรื่องเด็กๆ จิ๊บๆ จ๊อยๆ แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง มันเตลิดเปิดเปิง นำไปสู่การ “ก้าวสะเปะสะปะ” ไปจนถึงขั้น เกิดการ “แลนด์สไลด์” ของพวก “ด้อมส้ม” ทั้งหลายในการ “เลือกตั้งครั้งใหม่” ชนิดมากันระดับ 300-400 ที่นั่งอย่างที่ใครต่อใครคาดคำนวณไว้ก่อนล่วงหน้า อันนี้...คงต้องสรุปว่า ด้วยบรรยากาศทำนองนี้ ไม่ว่าบ้านเราหรือโลกทั้งโลกก็ตามที มันออกจะเป็นบรรยากาศในแบบ “โชคดี...ที่ตายก่อน” นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น