“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” สัตว์โลกย่อมเป็นตามกรรม นี่คือพุทธพจน์ที่ตรัสไว้เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว แต่ยังคงเป็นความจริงที่มองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน และจะยังคงเป็นความจริงต่อไปในอนาคต จึงเรียกว่าเป็นอกาลิโกคือ ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา
คำว่า กรรมตามนัยแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนาหมายถึง การคิดเรียกว่า มโนกรรม การพูดเรียกว่า วจีกรรม และการกระทำเรียกว่า กายกรรม
กรรมแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. กุศลกรรมคือ กรรมดี
2. อกุศลกรรมคือ กรรมชั่ว
3. อัพยากตกรรมคือ กรรมที่เป็นกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว
กรรมที่จะให้ผลหรือมีวิบากต่อบุคคลผู้ก่อกรรมได้แก่ กุศลกรรม และอกุศกรรม
กรรมทั้ง 3 ประเภทนี้เองทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นคนดีหรือคนเลว โดยแบ่งประเภทเป็นคนดีและคนชั่วตามสัดส่วนของกรรมที่แต่ละคนได้ก่อขึ้น กล่าวคือ ถ้าประกอบกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วเรียกว่า คนดี และถ้าประกอบกรรมชั่วมากกว่ากรรมดีเรียกว่า คนชั่ว
ส่วนว่าคนที่ประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่ว 100 เปอร์เซ็นต์ในโลกปุถุชน หรือจะมีก็ขอยกตัวอย่างคนที่สังคมบอกว่าชั่วไม่มีชิ้นดี หรือคนชั่วโดนสันดานก็ยังมีส่วนดี แต่เป็นส่วนดียากจะมองเห็นเท่านั้น สำหรับคนดี 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีในโลกของอริยะเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่เป็นพุทธมามกะผู้เข้าถึงธรรม และรักษาศีลอย่างเคร่งครัด จึงประกอบกุศลกรรมเป็นหลัก และคนประเภทนี้เองที่สร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคมโดยรวม ส่วนคนที่ไม่เข้าถึงธรรม และไม่ตั้งตนอยู่ในศีล โดยเฉพาะศีล 5 จะเป็นคนก่อปัญหาให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น คนประเภทนี้เองที่เป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และประชาชนโดยรวม ทั้งนี้เนื่องจากว่า คนประเภทนี้อยู่ในสังคมใด สังคมนั้นจะเดือดร้อนจากพฤติกรรมของคนเหล่านี้ โดยเฉพาะในสังคมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้ทุกคนมีอิสรเสรีในการแสดงความคิดเห็น ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญประเทศ ดังจะเห็นได้จากพฤติกรรมของนักการเมือง และแฟนคลับของพรรคการเมืองที่อ้างเสรีภาพ และความเป็นประชาธิปไตยออกมาแสดงความคิดเห็น และการดำเนินกิจกรรมสวนทางกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ของประเทศ และยังออกมาด่าทอคนที่มีความเห็นต่างจากพวกตน ทั้งเกินเลยไปถึงขั้นจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงในรูปแบบต่างๆ ครั้นถูกจับกุมดำเนินคดี เนื่องจากทำผิดกฎหมาย ก็ใช้กฎหมู่ขู่เข็ญให้ฝ่ายปกครองละเว้นพวกตน ซึ่งเห็นแล้วพูดได้คำเดียวว่า เป็นคนของโลกไม่สมควรจะเป็นคนไทย และมีหัวใจเป็นชาวพุทธ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลโดยเฉพาะแกนนำและแฟนคลับที่หลงนิยมชมชอบแบบไม่ลืมหูลืมตาถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ศรัทธามืดบอด เป็นตัวอย่างที่อ้างได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น และในประเด็นที่ว่าให้ “ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”
ด้วยเหตุนี้ในฐานะเป็นชาวพุทธ และเชื่อกฎแห่งกรรม ผู้เขียนใคร่ขอให้บุคลากรทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ใช้จิตทบทวนกรรมที่ตนเองได้ประกอบขึ้นในอดีต และยอมรับผลของกรรมนั้น ไม่ต้องไปโทษคนอื่นแล้วค่อยๆ ปรับทิศทางการเมืองใหม่ โดยยึดหลักความดี และความเป็นของคนไทยแล้วก้าวไปในทิศทางการเมืองที่สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ ถ้าทำได้เชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้าพรรคนี้เป็นที่พึ่งของคนไทยได้ แต่ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้ยังคงยึดแนวเดิม บอกได้คำเดียวว่า ปิดล็อกแน่นอน