xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของ “ปรัชญาตะวันตก” (ตอนห้า) “เพลโต” ศิษย์เอก “โสเครตีส”!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เพลโต
“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”


“เอเธนส์” มีปราชญ์ “โสเครตีส” จึงมีปราชญ์ “เพลโต” ศิษย์เอกผู้ปราดเปรื่องเรืองนาม!
ปราชญ์ “เพลโต” ผู้เรืองความรู้ นับถือปราชญ์ “โสเครตีส” เชิดชูเป็น “ครู” อย่างจริงใจ และวางใจให้เป็น “ที่ปรึกษา” ผู้มากประสบการณ์
“เพลโต” จึงได้สร้างเส้นทางความรู้ใหม่ของ “ตนเอง” ได้อย่างชาญฉลาดควบคู่ไปด้วย..
ปราชญ์ “เพลโต” เป็นเฉกเช่นปราชญ์ “โสเครตีส” ดังนั้น “เพลโต” กับ “โสเครตีส” จึงสรรค์สร้างทั้ง “คำถาม-คำถก-คำแถลง-คำสรุป” มี “ความจริง” เป็น “คำตอบ” อยู่เสมอ
เวลาอันมีค่าของ “นักปรัชญา” ในยุคนั้น จึงก่อเกิด “ความรู้แท้จริง” ทวีขึ้นเรื่อยๆ มีการต่อยอด “ความคิด-ความรู้” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มิรู้จบต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้..
เอ้า.. มาประเทืองปัญญา จาก “ความรู้” ผ่าน “คำพูด” ของ “เพลโต” กันเถอะ..
สิ่งที่ปราชญ์ “เพลโต” คำนึงถึงอย่างมากก็คือ “สิ่ง” ที่เป็นพื้นฐานของจักรวาล และเป็นรากฐานความรู้ของมนุษญ์ หากเปรียบเทียบว่า “โสเครตีส” นำปรัชญาลงสู่ท้องถนน ไปตามตลาดและย่านชุมชน ปราชญ์ “เพลโต” คือคนนำปรัชญาขึ้นค้นหา“ ความจริง” บนฟากฟ้า ทั้งๆ ที่ยุคนั้น “เครื่องมือ” ยังไม่เจริญก้าวหน้าดังเช่นในยุคนี้..
อืม..“เพลโต” เป็น “ใครหว่า”?.. “เขา” เป็น “บุตร” ของชาวเอเธนส์ผู้มั่งคั่งร่ำรวย “เพลโต” มีพรสวรรค์ให้เห็นตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็น “ปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงที่สุด”
เมื่ออายุแค่สี่สิบปี ได้ตั้งโรงเรียนในนาม “ดิ อะคาเดมี” อันโด่งดัง ที่โรงเรียนนี้เอง “เพลโต” ได้สอนหนังสือ และเขียนบันทึกต่างๆอย่างมากมาย จวบจนสิ้นอายุขัย..
“เพลโต” ยอมรับวิธีการสอนของ “โสเครตีส” และพัฒนาขึ้นไปให้สมบูรณ์มากขึ้น โดยเพิ่มทฤษฎีว่าด้วยเรื่องของ “จักรวาล
จากบทสนทนาที่ “เพลโต” ได้บันทึกไว้ ไม่เพียงเปิดเผยให้ “มนุษย์” ได้รับรู้ถึงความคิดของ “โสเครตีส” เท่านั้น แต่ยังช่วยให้“มนุษย์” ค้นพบความจริง ในเชิงแนวคิดรวบยอดอีกมากมายมหาศาล..
ความจริง..“ความคิดสำคัญ” ของ “เพลโต” ก็คือ “ความคิด” ที่เขาเรียกว่า “รูปแบบ”
“เพลโต” คิดว่า สิ่งที่เป็นจริงในจักรวาลนี้คือ “รูปแบบ” หรือ “แก่น” ของวัตถุ แต่สิ่งที่เป็นจริงนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มันปรากฎให้เราเห็นได้ด้วยสายตา วัตถุและโลกทางกายภาพรอบตัวเรา เป็นเพียงตัวแทนของ “รูปแบบ”เ หล่านั้นทั้งสิ้น

“รูปแบบ” เป็นสิ่งเดียวที่เป็น “จริง” และเป็นสิ่ง(สาร)ที่มีมานานแล้ว และจะคงอยู่ตลอดไป สารเช่นว่านี้เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในโลกหนึ่ง ที่นอกเหนือจากการรับรู้ของมนุษย์ สิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยสัมผัสของเรานั้น เป็นเพียงสำเนาขอ ง“รูปแบบ” ที่แท้จริงเท่านั้น โดย “รูปแบบ” นั้นอยู่ล้อมรอบกายของเรา เราจะรู้เมื่อเราใช้เหตุผล

“เพลโต ”ได้ยกตัวอย่าง “วัว” ตัวหนึ่งว่า “แม่วัว” ที่ชื่อ “เบสซี” นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงคือ “รูปแบบ” อันเป็นสากลของ “วัว” เท่านั้น และ “เราจะรู้” ถึงสิ่งที่เป็นจริงแท้ได้ ก็ต่อเมื่อ “เราใช้เหตุผล” จนนำเรา “ไปสู่ข้อสรุป” เกี่ยวกับ “รูปแบบ” ของ “การเป็นวัว” เท่านั้น

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความคิดทางศีลธรรมด้วย อย่าเพิ่งหัวเราะก๊ากนะ!.. เพราะ “เพลโต” มิใช่คนโง่!! มาดูความคิดของเขากันหน่อยดีไหม?
การกระทำอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ดี” นั้น เป็นเพราะมี“บางสิ่ง” ในตัวมันเองที่ทำให้เป็นเช่นนั้น และ “บางสิ่ง” นั้นคือ “อุดมคติสากล” ของคำว่า “ความดี”
ด้วยความคิดในเชิงศีลธรรม ไม่ได้มองว่าบางสิ่ ง“ดี” เพียงเพราะมันส่งผลตามที่ต้องการเท่านั้น แต่เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับอุดมคติสากลของคำว่า “ความดี”
อืม..ปรัชญามิใช่เรื่องง่าย..แต่ก็มิใช่เรื่องยากนะโว้ย อ่านแล้วงงงวยสงสัยมากยิ่งขึ้นอ๊ะป่าว? แต่ “ปราชญ์คือปราชญ์” และ “ปรัชญาคือปรัชญา” ค่อยๆ คิด.. ค่อยๆ ตีความ.. แล้วจะค่อยๆ รู้.. จริงไหม?
คราวนี้..จากทฤษฎี “รูปแบบ” ของ “เพลโต” นำมาสู่เรื่องราวของ “มนุษย์ที่มีเหตุผล” อันเป็นที่มาของตรรกที่ว่า “สิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่จริง”! แปลแบบ “เพลโต” คือ เราไม่อาจเชื่อประสาทสัมผัส หรือความรู้สึกของเราได้ ฉะนั้น.. จึงเหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวที่เราต้องเชื่อ นั่นคือ “เหตุผล”

“เพลโต”ยืนยันนั่งยันตีลังกายันมาตลอดว่า เรามีความรู้ได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือ “การใช้เหตุผล”

เหตุผล คือสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นนิรันดร์ และภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ความรู้สึก จะนำเราไปสู่เส้นทางที่ผิด นำพาพวกเราไปสู่โลกจำลอง หรือการเลียนแบบที่ไม่สมบูรณ์

“เหตุผล” คือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ เช่นเดียวกับ “รูปแบบ” ที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์

จักรวาล เป็นสิ่งที่เป็นระเบียบ ด้วยอยู่บนพื้นฐานของโลกแห่งรูปแบบ

จิตวิญญาณของมนุษย์ ก็เป็นระเบียบเช่นเดียวกับจักรวาล

ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราควรอยู่เหนือการควบคุมของความรู้สึกและความปรารถนา แล้วปล่อยให้กลไกที่เหนือกว่าของจิตวิญญาณ(คือเหตุผล) ทำงานของมันไป

จงทำเช่นนี้ แล้วคุณจะเป็น “มนุษย์ที่มีเหตุผลของเพลโต”..!
ย้ำอีกครั้งว่า.. มนุษย์ที่มีเหตุผลนั้นเป็นนิรันดร์ เพราะรูปแบบอันเป็นนิรันดร์นั้นไม่เสื่อมคลาย มนุษย์ที่มีเหตุผลจึงไม่เสื่อมคลายเช่นกัน
เช่นเดียวกับธรรมชาติอันเป็นนิรันดร์ของ “รูปแบบ” ส่วนที่มีเหตุผลในจิตมนุษย์นั้น ย่อมเป็นส่วนที่เป็นนิรันดร์ หรือไม่เสื่อมคลายเช่นกัน จิตวิญญาณของมนุษย์นั้น เคลื่อนย้ายไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในวงจรของชีวิตและความตาย
ตัวอย่างเช่น “เพลโตตาย” ส่วนที่มีเหตุผลในจิตของเขาจะกลับไปเกิดใหม่ในร่างของ “อริสโตเติล” ประสบการณ์เรียนรู้ที่มนุษย์แต่ละคนได้มานั้น แท้จริงแล้ว คือการค้นพบความจริงอันเป็นนิรันดร์อีกครั้ง
แต่ “เพลโต” ไม่ได้หยุดความคิดไว้เพียงเท่านี้นะ..! เขาได้นำเรื่องของเหตุผลและรูปแบบที่เชื่อมั่น มาประยุกต์เข้ากับปรัชญาการเมืองของเขาด้วย ในบันทึกชื่อ THE REPUBLIC
อืม.. “เพลโต” คิดเรื่องการเมืองของกรีก ทำให้ผมคิดถึงการเมืองไทยห้วงนี้ ซึ่งสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอุตลุด ลึกซึ้งเหลือเชื่อ มีเรื่อง “เข็มขัดผมสั้น” พาลให้ “กางเกงหลวมๆ” ทำท่าจะหลุดเลยล่ะ..
เผด็จการทหารของ “นายกฯ ตู่” ที่สืบทอดอำนาจถึง 9 ปี คนที่ตระบัดสัตย์ไม่ปฏิรูปชาติ ไม่ปฏิรูปการเมืองแม้แต่น้อย ทำให้การเมืองถอยหลังลงคลองน้ำเน่า ประชาชน “โคตรเบื่อนายกฯ ตู่” ได้ยืนยันความเบื่อด้วยผลเลือกตั้ง ที่ “พรรคหนุนตู่” แพ้ “พรรคเหลี่ยม” กับ “พรรคตี๋ทอน” ยับเยิน ทำ “ลุงตู่” เสียผู้เสียคนไปเลย!!!
“รูปแบบ” ของการเมืองน้ำเน่า ทำให้ “ชาติไทย” ยังไม่ได้ “นายกฯ-รัฐบาล” ใหม่เลยนะโว้ย..?!
“ผู้คนกลุ่มหนึ่ง” คิดและถามส่งเดชว่า “เสียเงินชาติมหาศาลเลือกตั้งทำไมวะ?” “พรรคพิธา” ได้ “ส.ส.” นำโด่ง “151 เสียง” ก็ต้องได้เป็น“นายกฯ ไทย” คนใหม่สิ!
แต่.. ด้วย “รูปแบบ” ของนักการเมืองน้ำเน่า.. “พิธา” ในฐานะ “หัวหน้าพรรค” ดันทำผิดกฎหมาย ปกปิดเรื่อง “ถือหุ้นสื่อฯ” และมีนโยบายแก้หรือเลิก “กฎหมายมาตรา 112” ที่ปกป้อง “ประมุขชาติ”
แถมหาเสียงอีกหลายนโยบาย เช่น เลือกตั้งผู้ว่าฯทั่วไทย! แบ่งแยกดินแดนไทย! ปฏิรูปกองทัพไทย! ฯลฯ ที่พร้อมจะก่อความแตกแยกขัดแย้งในสังคม ถึงขั้น “คนไทย” ต้องปะทะกันอย่างรุนแรงในอนาคต ฯลฯ

พรรคกับ “พิธา” ไม่ยอมอ่อนข้อลดเพดาน เรื่องการแก้ไขหรือยกเลิก “มาตรา 112” โดยไม่แยแสกับนโยบายที่เหลืออีกกว่า 300 เรื่อง ที่ประชาชนส่วนใหญ่ใน 14 ล้านเสียงเรียกร้อง

ความผิด” ของ “พิธา” กับ “พรรคก้าวไกล” เรื่อง “กฎหมายมาตรา 112” ถูก “กกต.” ตั้ง “กรรมการ” พิจารณาว่ามีความผิดเช่นไร? จะถูกลงโทษหนักเบาเพียงใด? แนวโน้ม “พรรค” กับ “พิธา” ลำบากแน่!

ส่วนชะตากรรม “พิธา” ถือ “หุ้นสื่อฯ” หนีไม่พ้นจะซ้ำรอย “ธนาธร” ถือ “หุ้นสื่อฯ” ที่ “ธนาธร” กับ “กก.บห.พรรคอนาคตใหม่” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนาน 10 ปี!

โอ๊ย!.. มีอีกหลายเรื่องที่ “แกนนำพรรคก้าวไกล” อาจต้องหนีไปต่างประเทศ หรือย้ายไปนอนใน “คุก”!

เรื่องตั้ง “นายกฯ” กับ “รัฐบาล” ครั้งนี้ ประกอบด้วยกลุ่มคน “เบื้องหน้า” และ “เบื้องหลัง” และ “เหลี่ยม” ที่ต้องกลับบ้านให้ได้ครับ!

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า วันนี้การเมืองไทยและสังคมไทยอลเวงเละตุ้มเป๊ะเช่นนี้! ก็เพราะ “นายกฯ ตู่ตระบัดสัตย์” ไม่ทำตามคำพูดครับ!

“เพลโต” กล่าวไว้ว่า “เมื่อคนดีเพิกเฉยต่อกิจการส่วนรวม บทเรียนที่เขาจะได้คือ การถูกปกครองโดยคนเลว”!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น