"โสภณ องค์การณ์"
การเมืองน้ำเน่าบ้านเราต้องเอาความหน้าด้านเป็นอาวุธเพื่อชนะคะคานกันนั้น เป็นการยอมรับว่าการเจรจา ซึ่งหน้าโดยหาสัจจะในหมู่ทุรชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งใช้ยุทธศาสตร์ “ต้องหน้าด้านกว่า” ผสมกับยุทธวิธีปลิงควายเกาะ ทำให้ เกิดสภาวะรวนเรระส่ำระสายพรรคการเมืองที่เกาะกลุ่มกันต้องพัวพันนัวเนียแยกไม่ออก
จะตีจากไปตั้งรัฐบาลกับพวกใหม่ยิ่งลำบากเพราะฝ่ายหน้าด้านกว่าประกาศว่า “ถ้าพวกกูไม่ได้เป็น ก็อย่าหวังว่าพวกมึงจะได้เป็น”
ชาวบ้านทั่วไปไม่มีส่วนได้เสีย ต้องร้อง “ให้มันได้อย่างนี้สิพ่อคุณ พ่อมหาจำเริญ แย่งอำนาจกันยิ่งกว่าหมาแย่งกระดูก” แต่มันก็เป็นอย่างนี้ทุกยุค
เพียงแต่ว่ายุคเอ็มโอยูมันสะบัดสะบิ้ง ดัดจริตเหนือระดับน้ำเน่าอย่างที่เป็นมา ทำให้ดูเหมือนดีมีหลักการ
ต่างกันแค่ก่อนหน้านี้ความหน้าด้านไม่ได้ประกาศใช้เป็นยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ เป็นเพียงภาคปฏิบัติ เพราะความหน้าด้านหน้าทนเป็นพื้นฐานของคนที่จะอยู่ในเกมชิงอำนาจการเมือง
พรรคคนรุ่นใหม่ละอ่อนต่อนแต่น ยึดมั่นในหลักการปฏิรูปสถาบันเป็นฉากบังหน้าของความพยายามล้มสถาบันกษัตริย์ให้เข้าทางชาติมหาอำนาจตะวันตก ประกาศไม่ทิ้งเส้นทางนี้เด็ดขาดถึงขั้นยอมไม่เป็นรัฐบาล พ่ายแพ้โหวตในสภาคงนึกว่าจะมีรอบใหม่และเจรจากันได้กับพรรคในเอ็มโอยู แต่โดนดัดหลัง
ผลสุดท้ายเห็นว่าใช้พลังมวลชนด้อมด้อย ไม่ได้การแน่เพราะมีแต่ยุทธการหยาบคายก้าวร้าว รุนแรง ไม่โดนใจวิญญูชนคนมีปัญญาจึงต้องหาทางออกใหม่
เมื่อใช้ความหน้าด้านกว่าไม่ได้ผลที่จะเกาะขาพรรคการเมืองของนายห้างดูไบดังนั้นจึงต้องยกระดับหน้าด้านกว่าอีกนิด นั่นคือหาทางเป็นรัฐบาลให้ได้ จึงมีข่าวว่าศาสดาเจ้าของลัทธิโร่ไปหานายห้างดูไบที่เมืองฮ่องกงเพื่อเจรจาขอร่วมเป็นรัฐบาลและจะยอมถอยไม่เอามาตรการ 112 ให้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
แม้กระนั้นก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นการยอมถอยถาวรเพียงแต่ขอให้เป็นรัฐบาลแล้วค่อยไปตลบหลังภายหลัง อย่างนี้พรรคอื่นๆ และวุฒิสมาชิกคงไม่หลงลม
ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง 112 เท่านั้นพรรคคนรุ่นใหม่ยังมีแผนอย่างอื่นที่จะทุบหม้อข้าวกลุ่มผลประโยชน์และองค์กรความมั่นคงของรัฐซึ่งจะทำให้ถูกปฏิเสธอีก
การเมืองยังไม่แน่นอนเพราะนายห้างดูไบจะกลับมาเข้าคุกวันที่ 10 เดือนหน้าและท่านประธานสภาจะกำหนดโหวตนายกคนใหม่วันที่ 4 สิงหาคม ซึ่งจะได้ใครนั้นยังไม่แน่ เพราะถ้าพรรคคนรุ่นใหม่ยังอยู่ นายห้างดูไบอาจใช้ตัวสำรองไปให้โหวตในสภา ซึ่งจะทำให้ไม่ผ่านอีกรอบ
ประเด็นสำคัญคือนายห้างดูไบจะจับมือกับพรรคคนรุ่นใหม่ หรือมีพรรคอื่นเข้ามาแทรก ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าจะได้เสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกหรือไม่
ถ้าพรรคคนรุ่นใหม่ถูกเขี่ยออกไป มีการสลับขั้วอาจทำให้เกิดการปลุกระดมเด็กเจี๊ยวออกมาชุมนุมทะลุถนนอย่างที่เคยทำมาเพราะแกนนำและอดีตว่าที่นายกฯ ได้เดินสายปลุกปั่นม็อบได้ที่แล้ว
เมื่อการจับมือร่วมตั้งรัฐบาลยังไม่ลงตัวและความวุ่นวายบนถนนมีต่อเนื่องจะทำให้การเลือกนายกรัฐมนตรีมีปัญหาและไม่รู้ว่าจะจบสิ้นอย่างไร
ประธานรัฐสภาจะเดินทางไปประชุมต่างประเทศวันที่ 5 สิงหาคมถึง 10 สิงหาคม หมายความว่านายกตัวจริงต้องเลือกวันที่ 4 สิงหาคมหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องเลือกอีกครั้งหลังวันที่ 10 สิงหาคม
นายห้างดูไบจะมาจริงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสงบบนท้องถนน จะมีม็อบสีส้มและม็อบเสื้อแดงมาออกฤทธิ์ออกเดช กันหรือไม่และจะเป็นเนื้อเดียวกันหรือต่างกัน
การเมืองที่แบ่งขั้วและตั้งเงื่อนไขก่อนการเลือกตั้งทำให้มีคำขู่ว่าถ้าผิดสัจจะวาจาหรือข้อตกลงก็จะมีการลุกฮือของประชาชนซึ่งโกรธแค้นว่าถูกหักหลัง
แบบนี้ต้องดูว่าประชาชนมากน้อยแค่ไหนมีส่วนจริงจังเรื่องการเสีย คำมั่นสัญญาเพราะการเมืองย่อมต้องมีการชิงดีชิงเด่นหักหลังทรยศกันทุกสมัย
การเมืองเป็นเรื่องของเกมชิงอำนาจไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นที่ถาวร เป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะอยู่ซีกไหนของโลก
การกลับมาของในห้างดูไบเพื่อติดคุกช่วงนี้มีความหมายอย่างไรหรือไม่ จะเป็นตัวแปรในการคาน อำนาจบนถนนของกลุ่มผู้สนับสนุนด้อมด้อยหรือไม่
สุดท้ายจะมีความสงบพอที่จะให้เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้หรือไม่ ความเชื่อมั่นของประชาชนจะมีแค่ไหนในเรื่องความรู้ความสามารถและซื่อสัตย์สุจริต
ตัวเลือกที่มีอยู่ดูเหมือนบ้านเมืองคงยังไม่พ้นบ่วงเวรกรรม ผลงานและความน่าเชื่อถือของผู้นำและความสามารถในการควบคุมวิกฤติการเมืองจะเป็นตัวชี้
อย่าลืมว่าถ้าสถานการณ์ไม่สงบจนโหวตเลือกนายกคนใหม่ ไม่ได้ ลุงตู่ก็จะยังอยู่ต่อไป ประชาชนจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง