หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
มีคนพูดกันว่า หากพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเที่ยวนี้แล้วพลิกกลายเป็นฝ่ายค้านทั้งที่ได้รับเลือกตั้งมาอันดับ 1 เลือกตั้งเที่ยวหน้าพรรคก้าวไกลจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาถล่มทลายอาจตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น
ก่อนอื่นต้องบอกว่า การที่พรรคอันดับ 1 ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วหลายครั้งในหลายประเทศทั่วโลก เพราะพรรคอันดับ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้แต่พรรคอันดับ 2 สามารถรวบรวมเสียงข้างมากกับพรรคอันดับอื่นๆ ได้และพรรคอันดับ 2 จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
ดังนั้นเรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่แบบที่หลายคนเข้าใจว่า พรรคที่ได้อันดับ 1 ต้องได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้นไม่เช่นนั้นจะเป็นการฝืนฉันทามติของประชาชน ทั้งที่พรรคก้าวไกลนั้นได้จำนวนส.ส.มาเพียง 30 %ของจำนวนส.ส.ทั้งหมดเท่านั้น ไม่อาจเรียกว่าเป็นฉันทามติได้ เพราะฉันทามติต้องมีลักษณะเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์
แน่นอนว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกลส่วนหนึ่งอาจจะผิดหวังที่พรรคที่ตัวเองเลือกแล้วชนะมาเป็นอันดับ 1 ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลไม่ได้เสียงข้างมากของรัฐสภาคือ 376 เสียงจาก 750 เสียง ซึ่งเป็นกติกาที่เขียนเอาไว้แล้ว
หลายคนอาจจะโกรธเคืองบรรดาส.ว.ที่ไม่ลงคะแนนให้พิธาพากันไปข่มขู่คุกคามบรรดาส.ว. แต่ไม่นึกว่า ส.ว.เขามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่เขาจะไม่เห็นชอบพิธาหากเขาเห็นว่า ความคิดอุดมการณ์และนโยบายของพิธาไม่สอดคล้องกับความคิดและอุดมการณ์ของเขา ไม่มีกฎหมายข้อไหนเขียนไว้เลยว่า ส.ว.จะต้องลงคะแนนให้แคนดิเดตของพรรคการเมืองที่ชนะมาเป็นอันดับ 1
ถึงตอนนี้โอกาสของพิธาในการเป็นนายกรัฐมนตรีน่าจะจบไปแล้ว ที่หลายคนบอกว่าให้ลากยาวไปถึงสมัยประชุมหน้าค่อยเสนอชื่อพิธากลับมาอีกก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะเชื่อว่าบรรดาส.ว.ที่ไม่ลงมติให้ในครั้งนี้ก็น่าจะยังยืนยันเหมือนเดิม
หรือที่บางคนเสนอว่าให้ลากยาวไปถึงพฤษภาคมปีหน้าที่ส.ว.หมดวาระก่อนไม่น่าจะทำได้อีกหรือไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะถ้าลากยาวไปถึงวันนั้น ประเทศจะเสียหายมาก เพราะรัฐบาลรักษาการนั้นไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้มาก การบริหารประเทศก็จะเกิดปัญหา แถมยังไม่สามารถเสนองบประมาณผ่านสภาได้ก็จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจตามมาและอาจจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเขามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติด้วย
ส่วนที่ว่าหากพิธาไม่ได้เป็นนายรัฐมนตรีในครั้งนี้ต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้านอาจจะส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลได้รับเข้ามาเลือกตั้งถล่มทลายและอาจจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้นั้น ผมคิดว่า สถานการณ์อีก 4 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงไป อย่าลืมว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของประชาชนคือ อาการเบื่อลุง ประชาชนจำนวนมากลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลเพราะประกาศตัวชัดเจนว่า มีลุงไม่มีเรา ทำให้ได้คะแนนจากคนที่เบื่อลุงจำนวนมาก แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีปัจจัยนี้แล้ว
ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมานั้น เชื่อกันว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศวางมือไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฎการณ์ที่พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งอย่างไม่มีใครคาดคิดก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
นอกจากนั้นคนจำนวนมากที่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลครั้งนี้ไม่ได้เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 จนเกิดคำถามจากคนที่ลงคะแนนให้จำนวนมากว่า ทำไมพรรคก้าวไกลต้องมุ่งมั่นที่จะแก้ไขมาตรานี้ จนยอมละทิ้งโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลเพราะพรรคการเมืองอย่างภูมิใจไทยและส.ว.หลายคนประกาศว่า หากพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะไม่แก้มาตรา 112 จะลงมติให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีทันที
ผมคิดว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าคนที่ตั้งคำถามแบบนี้กับพรรคก้าวไกลอาจจะไม่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลอีก หากไม่ได้คำตอบว่าทำไมต้องแก้ไขมาตรา 112 ให้ได้ และเมื่อเขาได้เห็นเนื้อหาในการแก้ไขมาตรา112ของพรรคก้าวไกลแล้ว เขาก็จะเห็นว่าเจตนาของพรรคก้าวไกลที่แก้ไขมาตรา 112 ให้มีโทษที่เบามากนั้นก็เพราะมีเจตนาที่ต้องการจะลดทอนพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์นั่นเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าทำสิ่งนั้นเพื่อจุดประสงค์อะไร
คนกลุ่มนี้มองเห็นแล้วว่า หากพรรคก้าวไกลเข้ามาบริหารประเทศและแก้ไขมาตรา 112 สิ่งที่จะตามมาก็คือความขัดแย้งของคนในสังคมไทยและผลลัพธ์ก็คือความรุนแรงอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งในสังคมไทยแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเดือนตุลาคม 2519
คนที่เลือกพรรคก้าวไกลหลายคนมีคำถามมากว่า ทำไมพรรคก้าวไกลมีนโยบายมากมายที่ประกาศว่าจะทำหากได้เป็นรัฐบาล หลายนโยบายหากทำได้จริงจะเป็นนโยบายที่ดี ทำไมไม่ยอมละทิ้งการแก้มาตรา 112 เพื่อโอกาสที่จะได้เข้ามาเป็นรัฐบาลและทำนโยบายเหล่านั้น
คนจำนวนหนึ่งที่เลือกพรรคก้าวไกลเพราะนโยบายประชานิยมที่ประกาศว่าทำทันที เช่น เงินผู้สูงวัย 3,000 บาทหรือค่าแรง 450 บาทต่อวันขึ้นทุกปี รู้แล้วว่านโยบายดังกล่าวไม่สามารถทำได้จริง เพราะเมื่อพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งก็บ่ายเบี่ยงว่าไม่สามารถทำได้ทันที หรือนโยบายอื่นๆ เช่น คนสูงวัยคนพิการติดเตียงเดือนละ 9,000 บาทคนตายได้ศพละ 10,000 บาท เด็กแรกเกิด 3,000 บาท เด็ก 0-6 ปีได้ 1,200 ต่อเดือน ฯลฯ ก็สงสัยกันว่าจะเอาเงินมาจากไหนทำรัฐสวัสดิการแบบนี้
ยังมีคนจำนวนมากออกไปเลือกพรรคก้าวไกลโดยไม่ได้ดูนโยบายและไม่ได้ดูตัวบุคคลแต่ชอบพรรคอยากเปลี่ยนประเทศ เมื่อพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งและเปิดตัวบุคคลที่พรรควางตัวไว้ให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีก็เกิดคำถามและความกังวลเมื่อเห็นตัวบุคคลเหล่านั้นว่าจะบริหารประเทศได้จริงหรือ หลายคนแม้จะมีความรู้และวุฒิการศึกษาที่ดี แต่แทบจะไม่มีประสบการณ์การทำงานมาเลย บางคนก็เกิดคำถามว่าเราเลือกคนแบบนี้มาเป็นส.ส.ได้อย่างไร และหลายคนเมื่อแสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะก็เกิดคำถามว่า คนนั้นรู้จริงที่เราควรจะวางใจให้เข้ามาบริหารประเทศหรือ ความกังวลที่กลายเป็นความกลัวที่จะฝากประเทศไว้กับคนเหล่านี้จึงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
นโยบายปฏิรูปกองทัพที่พรรคก้าวไกลจะทำนั้น มีคำถามว่า จะทำให้กองทัพของเราเข็มแข็งขึ้นจริงหรือ แม้หลายคนจะเห็นด้วยกับนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แต่นโยบายลดกำลังกองทัพ ยกเลิกสภากลาโหม ยกเลิกกอ.รมน. และยกเลิกกฎอัยการศึกใน3 จังหวัดภาคใต้นั้นมันจะส่งผลให้ประเทศเกิดความมั่นคงจริงๆ หรือ พรรคก้าวไกลคิดนโยบายเหล่านี้ด้วยความรู้ทางการทหารและสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกจริงๆ หรือทำเพราะเคียดแค้นต่อกองทัพที่เข้ามาทำรัฐประหารกันแน่
แม้รัฐประหารไม่ใช่เรื่องที่พึงปรารถนาในระบอบประชาธิปไตยแต่เราควรจะแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารด้วยการปฏิรูปกองทัพหรือป้องกันนักการเมืองใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเพื่อไม่ให้ทหารใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารกันแน่
แม้แต่พิธาเองถึงจะเป็นคนพูดเก่งพูดจาฉะฉานทั้งภาษาไทยและอังกฤษก็ถูกขุดคุ้ยถึงความล้มเหลวในการทำธุรกิจของครอบครัว ความไม่โปร่งใสและไม่มีธรรมาภิบาลในบริษัทของตัวเอง เงินเป็นร้อยล้านถูกไซฟ่อนไปจากบริษัทและยิ่งขุดคุ้ยก็พบเงื่อนงำมากขึ้นเรื่อยๆ ก็กลายเป็นคำถามว่า เราจะสามารถฝากประเทศไว้ได้กับเขาจริงหรือ
ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเกิดการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยก็น่าจะทำทุกอย่างเพื่อซื้อใจประชาชน เพราะรู้ว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลนั้นมีฐานเสียงที่ทับซ้อนกัน หากพรรคก้าวไกลได้ส.ส.เข้ามาเยอะ พรรคเพื่อไทยก็จะได้ส.ส.น้อยลง ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าที่ทักษิณกลับมาแล้ว(หากทำตามที่ประกาศไว้) ดีไม่ดีวันนั้นทักษิณอาจจะออกจากคุกเป็นอิสระแล้วก็ได้ พรรคเพื่อไทยจึงมีเดิมพันสูงที่จะต้องเอาชนะพรรคก้าวไกลให้ได้
แม้พรรคเพื่อไทยอาจจะไม่ใช่พรรคที่ดีในสายตาของหลายคน คนจำนวนมากในฝั่งอนุรักษนิยมคงจะไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย เพราะเข็ดหลาบกับการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเมื่อเข้ามามีอำนาจจนรัฐมนตรีติดคุกมากที่สุด แต่ก็คงต้องยอมรับความจริงว่าพรรคที่จะทัดทานพรรคก้าวไกลได้ก็คือพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
และไม่แน่ว่าหากมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นนโยบายที่หลายพรรคหาเสียงไว้ ในรัฐธรรมนูญจะเขียนไว้ให้มีส.ส.บัญชีรายชื่อหรือไม่ ถ้าหลายพรรคเห็นว่า พรรคก้าวไกลได้เปรียบในระบบบัญชีรายชื่อก็อาจจะตัดส.ส.บัญชีรายชื่อทิ้งไปก็ได้ แล้วมาสู้กันแบบเขตต่อเขตที่พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นมีความชำนาญมากกว่าการส่งคนโนเนมแล้วขายกระแสพรรคแบบพรรคก้าวไกล
ดังนั้นอย่าเพิ่งไปหวั่นไหวว่า หากพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลจะมาถล่มทลาย เพราะถึงวันนั้นสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan