ไหนๆ...ช่วงต้นสัปดาห์ก็ว่าด้วยเรื่อง “เศรษฐกิจ” ปิดม่าน ปิดฉากสัปดาห์คงต้องขออนุญาตไปว่าต่อกันอีกสักเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะในกรณีการ “ส่งสัญญาณ” การชี้แนะ ชี้นำ ในเรื่องราวดังกล่าว ถ้าหากดันออกไปทางเลอะๆ เทอะๆ เลื่อนเปื้อน เข้ารก-เข้าพง ก็มีแต่จะยิ่งส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลก” ที่สุดแสนจะอันตรายอยู่แล้ว ยิ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจไทย” ให้ยิ่งมีแต่ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” หนักขึ้นไปใหญ่!!!
คือเหตุเพราะตัวเองดันเป็นหนึ่งใน “แฟนคลับ” ของคุณ “ทนง ขันทอง” เขานั่นแหละ เลยมีโอกาสไปอ่านเจอสิ่งที่ท่านนำเอามาโพสต์ไว้ใน “เฟซบุ๊ก” เมื่อวัน-สองวันมานี้ นั่นคือเรื่องที่ “นักวิชาการอาวุโส” ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ หรือ “ทีดีอาร์ไอ” ได้ออกมาให้ความคิด-ความเห็นกับหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ก.ค.) เนื่องในจังหวะที่ “เศรษฐกิจจีน” อันเคยเป็นที่พึ่ง ที่หวัง เป็นหลักประกันสำหรับโลกทั้งโลกมาโดยตลอด เกิดอาการหัวทิ่ม-หัวตำขึ้นมามั่งเล็กๆ น้อยๆ จากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยคาดๆ ไว้ว่าน่าจะโตประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ ดันลดลงมาเหลือแค่ 6.3 เปอร์เซ็นต์ อะไรประมาณนั้น ส่งผลให้นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ไม่ว่าจะ “อาวุโส” ในระดับใดๆ ก็เถอะ ท่านเลยออกมาชี้แนะ ชี้นำ ว่าประเทศไทย หรือรัฐบาลไทย ควรหันไปหาตลาดใหม่ๆ เช่น หันไปเร่งรัดการเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ “FTA” กับบรรดาประเทศอียู-อีย้วยทั้งหลาย รวมทั้งควรหันไปให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับ “IPEF” (Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity) ที่ถือเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจแห่งยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของคุณพ่ออเมริกาเขานั่นเอง ที่เพียรพยายามประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อ “ปิดล้อม” คุณพี่จีนเป็นการเฉพาะ...
หรือพูดง่ายๆ...ให้เผ่นจากจีนหันไปซบตัก ซบตีน กับบรรดาพวกโลกตะวันตก แบบชนิดไม่ต่างอะไรไปจากแนวคิดด้านความมั่นคงของพวก “ด้อมส้ม” ที่ป่าวประกาศไว้ในนโยบายพรรค “ก้าวสะเปะสะปะ” เขานั่นแหละว่า ต้องหันไปให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงกับอเมริกา ต้องหาทางสนับสนุนการซ้อมรบ การฝึก “คอบบรา โกลด์” แบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน ฯลฯ อะไรทำนองนั้น อันเป็นอะไรที่ไม่น่าจะสอดคล้องกับความเป็นจริงและความเป็นไปของโลกหรือมีแต่ยิ่งเข้ารก-เข้าพง ยิ่งเลอะเทอะ เลื่อนเปื้อน หนักยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!
เพราะอย่างที่นายกรัฐมนตรีฮังการี หนึ่งในประเทศอียูและนาโตเอง ท่านได้ไปปาฐกถาประจำปีที่เมือง “Baile Tusnad” ในประเทศโรมาเนีย เมื่อวัน-สองวันมานี้ (22 ก.ค.) นี่เอง ว่าโลกทั้งโลกระหว่างนี้...กำลังย่างเข้าสู่ช่วงแห่ง “การเปลี่ยนแปลง” ครั้งมโหฬาร นั่นก็คือการที่ “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างคุณพ่ออเมริกา หนีไม่พ้นต้องสูญเสียสถานะและบทบาทดังกล่าวให้กับคุณพี่จีนอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ แถมบรรดาประเทศ “คนเคยรวย” อย่างชาติยุโรป หรืออียู-อีย้วยทั้งหลายต่างก็ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ ปวกๆ เปียกๆ ชนิดที่ผู้นำชาติยุโรปรายนี้ ถึงกับสวมวิญญาณหมอดู หมอเดา คาดคำนวณไว้ล่วงหน้าเอาเลยว่า ประเทศอดีตจักรวรรดินิยมที่เคยได้ชื่อว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” อย่างอังกฤษ จะร่วงผล็อยๆ หลุดจาก 10 อันดับแรกของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้กระทั่งประเทศเสาหลักของอียู-อีย้วย อย่างเยอรมนี ก็จะหล่นจากความเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 4 ถอยไปต่อคิวอยู่ที่ประมาณอันดับ 10 โน่นเลย ฯลฯ การตะเกียกตะกายคิดไปเปิด “FTA” กับชาติยุโรป เพียงเพราะเห็นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน ลดระดับลงมาแค่เล็กๆ น้อยๆ เลยย่อมเป็นอะไรที่เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ไปด้วยประการละฉะนี้...
ยิ่งพยายามชี้แนะ ชี้นำ ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ “IPEF” หรือให้เข้าไปร่วมมือกับการปิดล้อม ต่อต้าน คุณพี่จีนตามยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” ก็ยิ่งเท่ากับโกบิ๊ก ไปกันใหญ่ เพราะแม้ตัวเลขการเติบโตของ “เศรษฐกิจจีน” เขาจะลดระดับลงมาบ้าง แค่ชั่วครั้ง ชั่วคราว แต่โดยแนวโน้มความเป็นไปของโลกแล้ว ย่อมมิอาจปฏิเสธสถานะและบทบาทของบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย ที่นับวันจะมาแรง-แซงโค้ง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นกลุ่มประเทศ “BRICS” อันประกอบไปด้วยบราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีน-และแอฟริกาใต้ เป็นต้น ที่ไม่เพียงแต่ “แซงหน้า” กลุ่มประเทศรวยๆ อย่าง “G7” ชนิดทิ้งห่างทิ้งขาด ไปเมื่อช่วงปีที่แล้ว ว่ากันว่า...อีกแค่ไม่กี่ปีข้างหน้า หรือประมาณปี ค.ศ. 2030 ที่จะถึง โอกาสที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของบรรดาประเทศเหล่านี้ จะปาเข้าไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ส่งผลให้บรรดาประเทศไม่น้อยไปกว่า 40 ประเทศเข้าไปแล้วในทุกวันนี้ ตามการเปิดเผยของทูตแอฟริกาใต้ ประจำรัสเซีย “นายAnil Sookla” ว่าพร้อมที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เป็นสมาชิกรายใหม่ของกลุ่มประเทศ “BRICS” ที่กำลังจัดประชุม ณ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ในช่วงปลายเดือนหน้านี่เอง...
ดังนั้น...การมองไม่เห็น “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” เหล่านี้...ย่อมมีแต่นำมาซึ่งความเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ยิ่งช่วงที่โลกกำลังถูกแบ่งขั้ว-แบ่งข้างให้ต้องเลือกยืนกับฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดจนก่อให้เกิดแรงกดดันกันไปทั่วทั้งโลกจนตราบเท่าทุกวันนี้ โอกาสที่จะ “เลือกผิด-เลือกใหม่” ยิ่งต้องลดน้อย ถอยลง ไปตามลำดับ เรียกว่า...ขนาดอดีตทูตและตัวแทนถาวรสิงคโปร์ประจำสหประชาชาติ ประเทศที่เคยใกล้ชิดติดพันกับคุณพ่ออเมริกา จนแทบถือเป็น “ฐานทัพลอยน้ำ” ของอเมริกามาโดยตลอด อย่าง “นายKishore Mahbubani” ยังถึงกับต้องออกมาแสดงความคิด ความเห็น ถึงการถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกข้าง-เลือกฝ่าย เอาไว้น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ นั่นก็คือการเน้นย้ำให้เห็นว่า “การคิดสกัดกั้นจีน...มีแต่จะทำให้อเมริกาต้องโดดเดี่ยวไปจากโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
เพราะโดยลักษณะอาการของบรรดาประเทศใน “โลกตะวันตก” ทุกวันนี้...แทบไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะกดดัน บีบบังคับ ใครต่อใครให้ต้องเดินตามความปรารถนา ความต้องการของตัวเอง อย่างเท่าที่เคยเป็นมาในยุคอดีตนับศตวรรษๆ อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่ามหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์-การเมืองของอเมริกาเองอย่าง “ดร.Jack Rasmus” แห่งมหาวิทยาลัย “St. Marry’ s College” ถึงกับต้องออกมาโหยหวน ครวญคราง เอาไว้ว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล “ไบเดน” หรือ “Bidenomics” กำลังนำพาจักรวรรดิอเมริกาทั้งจักรวรรดิให้เข้าสู่ “จุดจบ” ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ ขณะที่ยุโรปทั้งยุโรปกำลังกลายสภาพเป็นหมู่บ้านในตำนานที่เรียกๆ ว่า “The Potemkin village” หรือสถานที่ต้องปกปิดความไม่ดี-ไม่งาม ความเสื่อมโทรม ล้มเหลว ในสายตาของนักเศรษฐศาสตร์และนักภูมิรัฐศาสตร์ระดับอาวุโส-ไม่อาวุโส ขนาดไหน เพียงใด ก็แล้วแต่ อย่าง “นายTom Luongo” นักวิเคราะห์การเงินระดับโลก ที่ต่างเห็นพ้องต้องกัน ในลักษณะเดียวกันกับที่นายกรัฐมนตรีฮังการี ได้ออกมาสรุป ฟันธงและฟันเฟิร์มถึง “การเปลี่ยนแปลง” ในลักษณะดังกล่าวเอาไว้แล้วนั่นเอง...
ยิ่งบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย...ต่างเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหาทางเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นไปของโลก ไม่ว่าในด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-สังคม ให้เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “โลกตะวันตก” เคยครอบงำโลกทั้งโลกมาโดยตลอด หรือเปลี่ยนการกดดัน บีบบังคับ แทรกแซง ฯลฯ ให้กลายมาเป็นความร่วมมือ การพูดคุยเจรจา ภายใต้ความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ของแต่ละประเทศ ภายใต้ความเป็นไปของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” (Multipolarity) ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” (Unipolarity) อีกต่อไปแล้ว การยืนอยู่กับฝ่ายที่ถูกต้องเป็นธรรม ยืนอยู่กับข้อเท็จจริง กับความเป็นไปที่แท้จริงของโลก จึงถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ ไม่ใช่การเพ้อ การละเมอ การหลงติด ยึดติด อยู่กับ “มายาภาพ” ที่ถูกสร้างสม สั่งสมเอาไว้ตั้งแต่อดีต จนฝักราก ฝังลึก กลายเป็น “ทัศนะทาส” หรือเป็น “Colonial Mentality” อันมีแต่จะทำให้ความเป็น “นักวิชาการ” ใดๆ ก็ตาม ย่อมกลายสภาพเป็น “นักวิชาเกิน” อย่างน่าอเนจอนาถ น่าเวทนา เป็นอย่างยิ่ง...