xs
xsm
sm
md
lg

อาจจะไม่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทนง ขันทอง

สหรัฐอเมริกากำลังจะเผชิญกับความแตกแยกทางการเมืองภายในที่รุนแรง ความขัดแย้งทางผิวสี และความเหลื่อมล้ำ คนอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่เอาไม่อยู่ วิกฤตการธนาคารและเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางทหารกับรัสเซียและจีนอย่างชนิดกู่ไม่กลับ ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้อาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองภายใน และการยกเลิกการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนปี 2024

ในช่วงที่ผ่านมา นักคิด นักวิเคราะห์ นักวิชาการอเมริกันหลายคนที่ออกมาแสดงความกังวลใจว่า วิกฤตการณ์ต่างๆ จะทำให้สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมืองภายในเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของการก่อตั้งสาธารณรัฐ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ อาจจะไม่สามารถรักษาความเป็นประเทศได้เหมือนเดิม และสูญเสียสถานภาพการเป็นมหาอำนาจโลก

นายมาร์ติน อาร์มสตรอง นักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคแห่ง Armstrong Economics ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนเมื่อปลายปี 2022 ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมว่า การโกงการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้อีกสองปีนับจากนี้

เขาพูดต่อไปว่า “เราอาจไม่มีการเลือกตั้งในปี 2024 มันดูไม่ค่อยดีนักและอาจเป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ (การเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022) จะไม่ได้รับการยอมรับ ในเมื่อมันมีการทุจริตมากเกินไป คุณจะทำอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งหน้า”

“สหรัฐอเมริกาจะไม่ดำรงอยู่ต่อไปหลังปี 2032 ส่วนหลังจากปี 2028 และ 2029 จะต้องมีการออกแบบรัฐบาลใหม่ทั้งหมดเนื่องจากการโกงและการคอร์รัปชัน”

นายมาร์ติน อาร์มสตรองบอกว่า สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด เขาไม่ได้คิดเอง แต่เป็นการประมวลผลของแบบจำลอง Socrates หรือคอมพิวเตอร์สมองกลของเขาที่ได้รับการพัฒนา ป้อนข้อมูลและประมวลผลอย่างต่อเนื่องจนสามารถทำนายเหตุการณ์ทางการเมือง ตลาดการเงิน เศรษฐกิจแมคโคร สงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ

ตามแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของอาร์มสตรอง สหรัฐฯ จะเห็นเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศครั้งใหญ่ในปีหน้า เนื่องจากเงื่อนไขที่สุกงอมสำหรับการก่อความไม่สงบ

“สหรัฐอเมริกาจะไม่มีอยู่หลังปี 2032” อาร์มสตรองประกาศ


Igor Panarin อดีตเจ้าหน้าที่เคจีบี และนักวิเคราะห์ด้านยุทธศาสตร์ และความมั่นคงชาวรัสเซียนเคยออกมาทำนายในปี 1998 โดยใช้ข้อมูลลับของฝ่ายรัสเซียเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และสภาวะสังคมของสหรัฐฯ ว่า 

สหรัฐอเมริกาจะล่มสลายในปี 2010 จากปัญหาของการอพยพเข้าเมืองที่รุนแรง การตกต่ำทางเศรษฐกิจ และความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม โดยจะแยกออกเป็น 6 ส่วนด้วยกันคือ

1. California Republic ซึ่งจะไปเป็นส่วนหนึ่งของจีน หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน

2. Central North-American Republic จะไปอยู่กับแคนาดา

3. Atlantic America อาจจะไปร่วมกับสหภาพยุโรป

4. Texas Republic จะเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก

5. Alaska จะกลับไปเป็นของรัสเซียเหมือนเดิม

6. Hawaii จะไปอยู่กับญี่ปุ่นหรือจีน

นายปานารินคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเงินและโครงสร้างจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยที่ซึ่งรัฐที่ร่ำรวยกว่าจะระงับการส่งเงินสบทบให้กับรัฐบาลกลาง ทำให้เกิดการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ เกิดจลาจลทางสังคม เกิดสงครามกลางเมือง ความแตกแยกภายในชาติ และการแทรกแซงของมหาอำนาจจากภายนอก

นายปานารินอธิบายทฤษฎีของเขาในการให้สัมภาษณ์กับ Izvestia ว่า “เงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ถูกค้ำประกันด้วยสิ่งใดเลย หนี้ต่างประเทศของสหรัฐฯ เติบโตอย่างกับหิมะถล่ม นี่คือพีระมิดที่ต้องพังทลายลง”... ความไม่พอใจกำลังเพิ่มขึ้น และกำลังถูกระงับชั่วคราวโดยการเลือกตั้ง และความหวังว่าประธานาธิบดีคนใหม่จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ แต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

แต่หลังจากปี 2010 มาถึงและผ่านไป สหรัฐฯ ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ได้ล่มสลาย ทำให้นายปานารินถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ความจริงแล้วคำทำนายของนายปานารินไม่ได้ผิดเป้าไปมากนัก เพราะว่าสหรัฐฯ เผชิญกับวิกฤตการเงินวอลล์สตรีทที่รุนแรงในปี 2008 ที่เกือบจะทำให้ระบบการเงินสหรัฐฯ และโลกล่มสลาย ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องเข้ามาอุ้มระบบธนาคารและระบบการเงินทั้งหมดด้วยการพิมพ์เงินทำคิวอี และกดดอกเบี้ยลงเหลือ 0%

สหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับหลุมดำของวิกฤตการณ์การเงินปี 2008 จนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าไม่มีการปรับโครงสร้างทางการเงิน หรือเศรษฐกิจ มีแต่การพิมพ์เงินเข้าไปอุดรูรั่ว

ที่ผ่านมามีบทความมากมายเกี่ยวกับโอกาสของการเกิดสงครามกลางเมืองภายในสหรัฐฯ ในระยะเวลาอันใกล้ที่จะถึงนี้

Stuart J Kaufman เขียนบทความ “Is the US Heading for a Civil War? Scenarios for 2024-25” โดยมีเนื้อหาอิงการเมืองเชิงสัญลักษณ์ เพื่อประเมินความเสี่ยงของสงครามกลางเมืองใหม่ในสหรัฐฯ โดยพบว่าปัจจัยต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองมีครบแล้วในปัจจุบัน รอเวลาที่จะปะทุออกมา

เขาอธิบายว่า มีการใช้วาทกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างพรรครีพับรีกัน และเดโมแครต พรรครีพับรีกันปฏิเสธความพ่ายแก้การเลือกตั้งของทรัมป์ในปี 2020 โดยกล่าวหาว่าเดโมแครตโกงการเลือกตั้ง ทำให้มีการก่อหวอดในวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อยึดสภาครองเกรส โดยกลุ่มหัวรุนแรงที่สนับสนุนทรัมป์ และเหตุการณ์ที่รุนแรงลักษณะนี้อาจจะเกิดขึ้นได้อีก เมื่อทรัมป์แพ้การเลือกตั้งในปี 2024


Raymond “Ray” Dalio นักลงทุนมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งบริษัท Bridgewater Associates หรือเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้เขียนจดหมายเปิดผนึกว่า “Why The World Is On The Brink Of Great Disorder” โดยมีเนื้่อหาเกี่ยวกับ 3 เรื่องใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 1930-45 แต่ว่ายังไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันคือ

เรื่องของหนี้ และการเติบโตของหนี้อย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารกลางต้องพิมพ์เงินเข้าไปอุ้มหนี้/เงิน ช่องว่างของความมั่งคั่ง รายได้ ค่านิยม และประชานิยมที่กลายเป็นพลังความขัดแย้งภายในที่รุนแรง ความขัดแย้งของมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังปะทุขึ้นมา

ดาลิโออธิบายว่า สำหรับพลังของการเงินและเศรษฐกิจนั้น เรายังอยู่ในช่วงปลายและช่วงที่อันตรายของวงจรหนี้ระยะยาว เนื่องจากระดับของสินทรัพย์และหนี้สินมีระดับสูงมากจนยากที่จะให้อัตราดอกเบี้ยสูงเพียงพอเพื่อให้เจ้าหนี้ หรือผู้ให้กู้พอใจ เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ แต่ในขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่สูงจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้กู้-ลูกหนี้ เนื่องจากการเติบโตของหนี้ที่ไม่ยั่งยืน

เขาบอกว่า เรามีแนวโน้มว่าจะเข้าใกล้จุดเปลี่ยนที่สำคัญ หรือการปรับโครงสร้างหนี้/การเงิน/เศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการขาดดุลที่รุนแรงของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะต้องออกบอนด์จำนวนมาก และดูเหมือนว่าความต้องการซื้อบอนด์จากตลาดจะไม่เพียงพอสำหรับหนี้ดังกล่าว ทำให้อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นมาก และเฟดจะพิมพ์เงินจำนวนมากเพื่อซื้อพันธบัตรซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ภาวะหนี้/การเงินจะเลวร้ายลงอย่างมากในช่วง 18 เดือนข้างหน้า

สำหรับพลังของความขัดแย้งภายในสหรัฐฯ นายดาลิโอมองว่า ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา เราได้เห็นสัดส่วนจำนวนประชากรที่เป็นพวกหัวรุนแรงประชานิยมเพิ่มขึ้น (ประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ของฝ่ายขวาสุดโต่ง และประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ของฝ่ายซ้าย) และการหดตัวของเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เป็นสายกลางของทั้งสองฝ่าย

แม้ว่าประชากรที่เป็นสายกลางจะยังคงเป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่เมื่อดูเปอร์เซ็นต์แล้วจะลดลงไปเรื่อยๆ และคนพวกนี้ไม่ค่อยเต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะในทุกวิถีทาง

ในการศึกษาประวัติศาสตร์ จะพบว่าประชานิยมที่เพิ่มขึ้นของทั้งสองฝ่ายนี้ และความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีช่องว่างขนาดใหญ่ในความมั่งคั่งและค่านิยมพร้อมๆ กับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ในช่วงเวลาดังกล่าว ประชากรจำนวนมากเลือกผู้นำทางการเมืองแบบประชานิยมที่สาบานว่าจะต่อสู้และชนะเพื่อพวกเขามากกว่าการประนีประนอม

ดาลิโอมองว่า ไม่ว่าจะมองมุมไหน เห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่สงครามกลางเมืองรูปแบบหนึ่งในอีก 18 เดือนข้างหน้า

ดาลิโอบอกต่อไปว่าว่า สงครามที่สำคัญที่สุดคือระหว่างสองฝ่ายสายกลางกับฝ่ายประชานิยมสุดโต่ง แต่สายกลางของสองฝ่ายจะเป็นฝ่ายปลีกตัวออกจากการต่อสู้นี้อย่างเงียบๆ สิ่งเดียวที่พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันสามารถตกลงกันได้ ซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย นั่นคือการต่อต้านจีนซึ่งนำฉันไปสู่พลังที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

สำหรับพลังความขัดแย้งของระเบียบโลก นายดาลิโอมองว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้นต่อจีน นั่นเป็นเพราะในสหรัฐอเมริกา ทุกคนส่วนใหญ่ต่อต้านจีน และผู้ที่ลงสมัครรับตำแหน่งจะต้องการทะเลาะวิวาทกันเองในปีที่มีการเลือกตั้ง จีนและสหรัฐฯ เข้าใกล้อันตรายในสงครามบางรูปแบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามทางเศรษฐกิจหรือที่แย่กว่านั้นคือสงครามทางทหาร

นอกจากนี้ยังมีการเลือกตั้งที่สำคัญในไต้หวันในปีหน้า ซึ่งเป็นจุดวาบไฟในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการผลักดันเอกราชของไต้หวันที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตาเมื่อพิจารณาถึงศักยภาพของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่จะมีการเปิดเผยมากยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว ดาลิโอมองว่า

สหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้การปรับโครงสร้างหนี้/การเงิน/เศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทางระเบียบการเงิน

ชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่สงครามกลางเมืองรูปแบบหนึ่งในอีก 18 เดือนข้างหน้า มีโอกาสสูงที่จะเกิดความขัดแย้งทางทหารครั้งใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน


ในศตวรรษที่ 19 เคยเกิดสงครามกลางเมืองอเมริกาแล้วระหว่างวันที่ 12 เมษายน 1861 ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 1865 มีการสู้รบระหว่างฝ่ายเหนือที่เรียกตัวเองว่า Union และฝ่ายใต้ที่เรียกตัวเองว่า

Confederacy ที่แยกตัวออกเป็นรัฐอิสระ เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกันว่าระบบทาสจะได้รับอนุญาตให้ขยายไปยังดินแดนทางตะวันตกของประเทศหรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การมีรัฐที่จะมีทาสมากขึ้น หรือถ้าหากถูกขัดขวางไม่ให้ทำเช่นนั้น จะทำให้ระบบทาสสูญพันธุ์ไปในที่สุด

ความขัดแย้งทางการเมืองหลายทศวรรษเกี่ยวกับการใช้แรงงานทาสมาถึงจุดแตกหักด้วยชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1860 ของอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งต่อต้านการขยายระบบทาสไปยังดินแดนทางตะวันตก

รัฐทาสทางตอนใต้ ประกอบด้วย เซาท์แคโรไลนา มิสซิสซิปปี ฟลอริดา อลาบามา จอร์เจีย หลุยเซียนา เท็กซัส อาร์คันซอ เทนเนสซี และนอร์ทแคโรไลนาตอบสนองต่อชัยชนะของลินคอล์นโดยแยกตัวออกจากสหรัฐอเมริกา รวมกันเป็นรัฐอิสระเรียกว่าConfederacy มีประธานาธิบดีชื่อ Jefferson Davis ส่วนประธานาธิบดีลินคอล์นของฝ่ายเหนือมีนโยบายเลิกทาส ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 4 ล้านคนที่ถูกนำมาจากแอฟริกาเป็นหลัก ทำให้มีการสู้รบกันอย่างดุเดือด ท้ายที่สุดฝ่ายเหนือชนะ การประกาศเลิกทาสทำให้ลินคอล์นกลายเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา

ถ้าหากจะเกิดสงครามกลางเมืองครั้งที่ 2 สาเหตุจะมาจากความแตกแยกของทิศทางของประเทศระหว่างฝ่ายรีพับรีกัน ซึ่งประกอบด้วยพวกอนุรักษนิยม (Conservatives) พวกรักชาติ (Patriots) พวกฝ่ายขวา (Rightists) กับฝ่ายเดโมแครต ซึ่งประกอบด้วยพวกลิเบอรัล (Liberals) ฝ่ายซ้าย (Leftists) พวกโลกกบาล (Globalists) โดยจะมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผิวสี วิกฤตเศรษฐกิจเข้ามาแทรกทำให้กระพือความขัดแย้ง

ถ้าทรัมป์ได้เป็นตัวแทนของรีพับรีกัน และชนะการเลือกตั้ง เขาจะสกัดไม่ให้เกิดสงครามโลกระหว่างสหรัฐฯ กับจีน+รัสเซีย เช่นเดียวกันกับ Robert F Kennedy Jr. ที่กำลังหาเสียงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธาธิบดีในการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 2024 เคนเนดีเป็นผู้ที่ต่อต้านสงครามเหมือนกัน และต้องการให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งปลอดจากพวก Deep State

โจ ไบเดนเป็นคนของพวก Deep State ที่กำลังก่อสงครามยูเครนเพื่อสกัดอิทธิพลของรัสเซีย และเตรียมหาเรื่องทำสงครามกับจีนด้วยการสนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นรัฐอิสระ พวก Deep State ต้องการก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 เพื่อที่จะรีเซ็ตระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจโลก จะได้กลับมาครอบครองอำนาจโลกแต่ผู้เดียวต่อไป

เนื่องจากฐานะการเงิน และหนี้ของสหรัฐฯ กู่ไม่กลับแล้ว อนาคตของดอลลาร์มีความง่อนแง่นสูงจากการท้าทายของเงินสกุลร่วมบริกส์ที่จะมีทองคำหนุนหลัง และเตรียมเปิดตัวในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ ทำให้ Deep State ต้องส่งตัว Henry Kissinger ไปเจรจาสี จิ้นผิงให้ยกเลิกการขายพันธบัตรสหรัฐฯ $800,000 กว่าล้าน หลังจากแอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศ และเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังทำงานล้มเหลว ขู่จีนไม่สำเร็จ

ถ้าหากไม่มีสงครามโลกครั้งที่ 3 จีนจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นสิ่งที่พวก Deep State ยอมไม่ได้

ถ้าหากมีแนวโน้มว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง หรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรง จากการล้มละลายของระบบการเงินสหรัฐฯ ฝ่าย Deep State อาจจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดสงครามกลางเมือง อันนำไปสู่การรัฐประหารเพื่อล้มการเลือกตั้ง โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อเตรียมการเข้าสู่สงครามโลกกับจีน ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ก็ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น