เมื่อพรรคคนรุ่นใหม่เสียท่าเกมชิงอำนาจการเมือง ต้องหาทางออกให้ตัวเองไม่เสียเชิงมากกว่านี้ แกนนำสายห้าวเป้งประกาศแนวทางปรัชญาเพื่อความอยู่รอด
“ถ้าเจอคนหน้าด้าน เราต้องหน้าด้านกว่า” ว่ากันอย่างง่ายๆ สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงที่ว่า “หน้าด้านเท่านั้นที่จะครองโลก” หรือ “ท่านอาจเอาชนะใครก็ได้ ยกเว้นคนหน้าด้าน” พรรคคนรุ่นใหม่ได้สูตรหนามยอกเอาหนามบ่ง
ต้องหน้าด้านกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด สางบัญชีแค้นไปพร้อมกัน
ดังนั้น ข้อตกลง MOU ที่ผูกมัด 8 พรรคด้วยกันจึงถูกพิสูจน์ว่าไร้ความหมาย เมื่อพรรครุ่นใหม่อ่อนด้อยเกมจึงต้องรับบทผู้แพ้ เป็นเพราะความเหิมเกริม ยโสโอหัง
พรรคนายห้างดูไบอ่านเกมออกตั้งแต่แรกว่าพรรคด้อมด้อยจะฮึกเหิมจนลืมตัว มองเห็นอำนาจอยู่ใกล้มือเอื้อม จึงแสดงออกอย่างห้าว ไร้ความอ่อนน้อมถ่อมตน
หัวหน้าด้อมด้อยประกาศไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรู้ว่าพรรคชนะอันดับหนึ่ง “ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ตาม”
เท่ากับว่าใช้ปากขุดหลุมฝังศพตัวเองชัดๆ โดยมีพรรคนายห้างดูไบตอบสนอง ด้วยการเตรียมพื้นที่ปูทางให้อย่างดี ดันหลังให้ไปชิงเก้าอี้นายกฯ ในศึกที่เอาชนะยาก
ความไม่อ่อนน้อมถ่อมตน ยโสโอหังลำพอง ไม่เห็นหัวผู้อื่น อ้างอย่างเดียวว่ามาอันดับ 1 กว่าจะรู้ตัวก็โดนเชือดในสภาฯ 2 รอบ ซ้ำด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ
“ว่าที่นายกฯ” ต้องสิ้นสภาพออกเดินสายปลุกม็อบด้อมด้อยให้เยียวยาสมานแผลใจ ไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สภาฯ ด้วยซ้ำ ภารกิจช่วงนี้คือปลุกระดมม็อบให้สู้บนถนน
การสู้ต่อเนื่องบนถนน ใช้ม็อบด้อมด้อยแรงงานเด็กกดดันพรรคนายห้างดูไบ ใช้ความรุนแรง เกรี้ยวกราด ถ้อยคำหยายคาย คำขู่คุกคาม พร้อมเล่นบทโหด
กลุ่มด้อมด้อยไม่คิดว่าประชาธิปไตยต้องยอมรับว่ามีความเห็นต่างกัน คิดอย่างเดียวว่า “พวกกูต้องได้” “ครั้งนี้กูไม่ยอม” หรือคำประกาศเชิงคุกคาม
ด้วยความผิดหวังทำให้เกิดความแค้น ไม่โทษตัวเองว่าอ่อนด้อยเกม โทษแต่คนอื่น ทั้งที่การต่อสู้ชิงอำนาจการเมืองอยู่บนพื้นฐานของกฎ กติกาเดียวกัน
ความแค้นยกกำลัง 2 เมื่อเห็นชัดว่ามาอันดับ 1 แท้ๆ ยังไม่ได้อำนาจ โดยไม่หวนนึกว่าเป็นเพราะความโอหัง ประกาศว่า “เราต้องได้เก้าอี้ประธานสภาฯ นายกฯ”
สุดท้ายได้แค่เก้าอี้รองประธานฯ “อดีตว่าที่นายกฯ” จะรอดภัยได้เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ชุดขาวที่แห่กันไปตัด อาจได้ใช้เพียงครั้งเดียว
การเมืองคือเกมชิงอำนาจ เหมือนพาราสาวัตถี ไม่มีใครปรานีใคร
ความแค้นจึงนำไปสู่ม็อบกลางถนน ใช้ฐานเสียง 14 ล้านคนกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ ของจริงจะมีพวกร่วมล้มสถาบันมากน้อยเท่าไหร่ยังไม่มีใครประเมินได้
เกมต่อสู้ด้วยม็อบบนถนน เริ่มตั้งแต่วันประชุมเลือกนายกฯ นัดแรก
แกนนำม็อบหิวแสงได้โอกาสจัดชุมนุมปลุกระดมให้ชาวบ้านออกมากดดัน ปูทางให้เกิดวุ่นวาย ไม่ให้
พรรคการเมืองร่วมมือกันตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคด้อมด้อย
แกนนำม็อบด้อมด้อยอ้างว่าค่ายนายห้างดูไบต้องไม่ตีจากเพื่อไปร่วมกับพรรคอื่น ไม่สำเหนียกว่าการเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ร่วมกันที่ถาวร
ไม่มีกฎกติกาว่าพรรคชนะอันดับ 1 ต้องได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล ประเทศตะวันตกต่างชิงหาพวกให้มากที่สุด ในบางประเทศใช้เวลาต่อรองนานกว่า 1 ปี
พรรคด้อมด้อยต้องเกาะขาพรรคนายห้างดูไบ ใช้ความหน้าด้านกว่าเพื่อแสดงเจตนาให้เห็นว่า “ถ้ากูไม่ได้เป็น มึงก็ต้องไม่ได้เป็น” ปลุกม็อบให้ฮึกเหิม โดยมีส่วนแกนนำหิวแสงพรรคนายห้างดูไบเป็นหอกข้างแคร่ เกาะกระแสกับพรรคด้อมด้อย
คงรู้ตัวดีว่าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแน่ จึงต้องแสดงราคา ห้ามตีจากพรรคด้อมด้อย เป้าหมายคือให้เกิดความวุ่นวาย ตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคด้อมด้อยไม่มีอะไรต้องเสีย
ถ้าโดนยุบพรรค แกนนำถูกห้ามเล่นการเมืองซ้ำรอยเดิม เท่ากับเป็นการสุมไฟแค้นให้เผาเมือง ยืมมือม็อบเด็กจิตแตก กลุ่มสามนิ้ว กลุ่มทะลุสารพัดให้ก่อเรื่อง
พรรคนายห้างดูไบจึงต้องหาพันธมิตรใหม่ นอกจากบางพรรคที่อยู่ร่วมกัน มาร่วมให้มือเปื้อนเลือดในการสลัดพรรคด้อมด้อยให้หลุดจากพันธะ MOU
พวก 6 พรรคที่มาเยี่ยมเยือน เล่นละครตีบทแตกแบบไม่ต้องให้เนียน ประกาศเสียงเดียวกันว่า “ไม่สามารถร่วมกับพรรคนายห้างดูไบ ถ้ายังมีพรรคด้อมด้อยจ้องล้มสถาบันร่วมด้วย” ส่งสัญญาณว่า ชื่อนายกฯ ที่จะโหวตวันที่ 27 จะไม่ถึง 375 เสียง
ตัวแทนพรรคนายห้างดูไบ ถ้าเป็นเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ จำต้องเป็นแพะให้เชือด ให้เห็นว่าตราบใดที่มีพรรคด้อมด้อยห้อยติดขาอยู่เป็นภาระ เดินหน้าไม่ได้
นี่จะเป็นเหตุให้พรรคนายห้างดูไบต้องมือเปื้อนเลือด หรือหาทางแก้เกมหน้าด้าน ด้วยความหน้าด้านกว่าระดับของพรรคด้อมด้อย นั่นคือไม่ตีจากพรรคร่วม MOU
แต่มีข้อเสนอน่าประทับใจ “เราขอบคุณที่พรรคด้อมด้อยจะร่วมรัฐบาลภายใต้ข้อตกลง MOU แต่เราต้องมีเพื่อนมากกว่าเดิม เพื่อให้ได้เกิน 375 เสียง ดังนั้นเราจะไม่มีเก้าอี้รัฐมนตรีให้ท่านเลย ขออภัยในความไม่สะดวก จะไปเป็นฝ่ายค้านก็ได้นะ”
ถึงอย่างไรก็ไม่ง่ายว่าจะได้เลือกนายกฯ ของพรรคนายห้างดูไบหรือไม่ ถ้าเกมโหดบนถนนทำให้เกิดความวุ่นวาย ปะทะกันด้วยกำลังระหว่างม็อบหรือกับเจ้าหน้าที่
คงไม่ลืมว่า “ลุงตู่” ที่ประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ยังนั่งเก้าอี้นายกฯ แม้รักษาการ ก็มีอำนาจประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์ รักษาความสงบ
ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่สงบ “ลุงตู่” ก็อยู่ต่อ ถ้าเกินเลยไป อาจถึงขั้นประกาศกฎอัยการศึก นั่นหมายความว่าจะไม่มีการเมืองให้เล่นอีกต่อไป จะเอางั้นมั้ย?