xs
xsm
sm
md
lg

ชัยชนะและอหังการ์ของพรรคก้าวไกล และสังคมไทยที่กำลังแตกหัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

แม้จะได้เสียงมา 14 ล้านเสียง ในระบบบัญชีรายชื่อ และได้จำนวนส.ส.มาเป็นอันดับ 1 แต่ตามรัฐธรรมนูญจะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้เสียงจากรัฐสภา 376 เสียง ดังนั้นเมื่อได้เสียงจำนวนดังกล่าว พิธา ลิ้มเจริญรัตน์แคนดิเดตของพรรคก้าวไกลจึงไม่อาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เป็นกติกาที่เขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติของประชาชน 15 ล้านเสียง จริงๆ แล้วผมเป็นฝ่ายลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันผ่านการรับรองจากประชาชนเสียงข้างมากมาแล้ว เราก็ต้องยอมรับกติกานั้นโดยปริยาย

ส.ว.เองก็มีความชอบธรรมที่จะโหวตให้หรือไม่โหวตให้ก็ได้ หากมองว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าวมีนโยบายและมีคุณสมบัติที่ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของตัวเองซึ่งเป็นหลักการที่ชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตย ไม่มีกฎหมายไหนที่เขียนเอาไว้ส.ว.จะต้องโหวตตามเสียงข้างมากของประชาชน

การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างของกันและกันเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ถ้าเราไม่มีความคิดนี้อยู่เราก็ไม่อาจสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาเป็นกฎเกณฑ์ของสังคมได้

ดังนั้นที่เกิดพฤติกรรมของบรรดาด้อมส้มที่เป็นสาวกของพรรคก้าวไกลไปข่มขู่คุกคามบูลลี่ ประกาศว่าจะพาคนไปถล่มบ้านส.ว.ที่ไม่เห็นชอบและงดออกเสียงรวมถึงคุกคามไปถึงครอบครัวและธุรกิจของส.ว.นั้นจึงเป็นพฤติกรรมป่าเถื่อนของพวกอประชาธิปไตย ไม่อาจเรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้ น่าจะเรียกว่าเป็นอันธพาลการเมืองเสียมากกว่า

ที่สำคัญเราไม่ได้ยินพิธาและแกนนำของพรรคก้าวไกลห้ามปรามความป่าเถื่อนของพวกสาวกและด้อมของตัวเองเลย อาจจะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวนั้นปรากฏให้เห็นอยู่โดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียที่หยาบคายก้าวร้าว และแสดงความกร่างออกมาอย่างเห็นได้ชัด

มันสะท้อนให้เห็นว่า คนฝ่ายที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยกลับไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น ไม่ยอมรับเสียเองว่าคนเรามีความเท่าเทียมกันแม้จะมีความคิดเห็นและอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน ซึ่งเป็นความคิดที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองเคียดแค้นและชิงชังต่อกันไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมขึ้นมาเลย

มันน่าสงสัยว่าคนรุ่นนี้ถูกบ่มเพาะมาจากอะไร เป็นเพราะพวกเขาสอนกันว่า ครูบาอาจารย์ไม่ใช่ผู้มีพระคุณแต่เป็นพวกที่เราจ่ายเงินจ้างให้มาสอน พ่อแม่ไม่ใช่ผู้มีพระคุณเพราะเราเกิดมาเพราะพ่อแม่ทำเรามาเกิดเอง ไม่ได้ขอมาเกิด หรือบอกว่าเป็นเพียงเพราะพ่อแม่มีความต้องการทางเพศตอนนั้นเท่านั้นไม่ได้ตั้งใจจะเกิดเราขึ้นมา รวมไปถึงความคิดที่ว่า ไม่ต้องเรียกกันด้วยคำว่า ลุงป้า น้า อา แต่เรียกกันแค่คุณกับผม รวมไปถึงการบอกว่า ไม่ต้องนับถือศาสนาไหน ไม่ต้องเข้าวัดโบสถ์มัสยิด ความคิดเหล่านี้หรือไม่ที่กล่อมเกลาความเป็นคนของคนรุ่นนี้ที่เราเรียกกันว่าคนรุ่นใหม่จนทำให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวจนมองเห็นว่าคุณค่าที่คนรุ่นเก่าสร้างขึ้นมาและมองว่าสิ่งเหล่านั้นจะต้องถูกทำลายทิ้งไปให้หมด

ค่านิยมเหล่านี้เป็นบรรทัดฐานของคนรุ่นใหม่และมันจะสร้างสังคมที่ดีงามเช่นนั้นหรือ

เราลองคิดสิว่า ถ้าคนส่วนใหญ่คิดเพียงว่าพ่อแม่ทำให้เรามาเกิด จึงมีหน้าที่ที่ต้องเลี้ยงดูเราโดยที่เราไม่มีความคิดระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่แบบที่นายเข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาฯ สอนสาวกนั้น มันจะทำให้สังคมสามารถอยู่อย่างมีความสุขจริงหรือ แล้วถ้าเราคิดกระทั่งว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ เมื่อเราเข้าสังคมเราจะมองเห็นคุณค่าอื่นๆ ในสังคมได้อย่างไร เราจะไม่คิดหรือว่าทุกอย่างในสังคมนั้นมันจะต้องรับผิดชอบในตัวเรา โดยเราไม่ต้องรับผิดอะไรต่อสังคมเลย

เราต้องการบรรทัดฐานของสังคมเช่นนี้จริงๆ หรือ จึงปล่อยให้มันเป็นยุคสมัยที่ทำลายคุณค่าของสังคม ทำลายภราดรภาพของสังคม ทำลายจารีตประเพณีอันดีงามของสังคม ที่เคยหล่อหลอมให้เราเคารพกฎเกณฑ์ของสังคมเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ไม่แปลกใจหรอกว่า ทำไมความคิดของคนยุคนี้จึงไม่สนใจรากเหง้าและความเป็นมาของชาติบ้านเมืองที่บรรพบุรุษและบูรพกษัตริย์ของแผ่นดินนี้ได้ช่วยกันสร้างเอาไว้ เพราะแม้แต่ครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันที่เล็กที่สุดและทำให้เราก่อเกิดหายใจขึ้นมาบนโลกก็ยังถูกสอนให้ทำลายคุณค่าลง ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนประสิทธิ์ประสาทความรู้เรามาก็ยังถูกทำลายคุณค่าให้ต้อยต่ำลง

แน่นอน เราอาจเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า สิทธิ สิทธิที่จะคิดอย่างไรก็ได้ สิทธิที่จะเชื่ออย่างไรก็ได้ แต่เราต้องสนใจบรรทัดฐานของสังคม สิ่งที่จะยึดเหนี่ยวให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วย ไม่อาจใช้ความเป็นปักเจกกำหนดบรรทัดฐานและสร้างคุณค่าของสังคมขึ้นมาเพียงลำพังโดยไม่สนใจบรรทัดฐานและคุณค่าของสังคมที่ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของส่วนรวมที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม

เมื่อไม่ต้องเคารพอะไรไม่ต้องเคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือศาสนาใดๆ ไม่แปลกหรอกที่เราเห็นคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย โดยไม่รู้ว่าพวกเขาเอาความคิดเหล่านั้นมาจากไหน ถ้าเราเห็นว่าทำไมเด็กหยกถึงถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ที่เราคิดเพียงว่าทำไมกฎหมายต้องดำเนินคดีกับเด็กที่อายุเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเรารู้สิ่งที่เธอกระทำจนนำมาสู่การถูกดำเนินคดี เราก็ต้องตกใจกับความคิดและสิ่งที่เธอทำลงไป เพียงแต่ว่า เราเอาสิ่งที่เธอทำมาเล่าซ้ำไม่ได้ คนก็เลยไม่รู้ว่า เธอถูกดำเนินคดีเพราะอะไร

ผมคิดว่าคนเรามีสิทธินะที่จะไม่ยอมรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ยอมรับระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็ไม่มีสิทธิก้าวล่วงด้วยการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายต่อพระประมุขของรัฐได้ เพราะทุกรัฐย่อมจะถือว่า พระประมุขของรัฐนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของรัฐที่จะปกป้อง แต่ถ้าหากคุณไม่เคารพและศรัทธาแต่ไม่ก้าวล่วงสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเคารพรักและศรัทธาแล้ว คุณก็มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น

ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่า โลกข้างหน้าเป็นอนาคตของคนรุ่นใหม่ มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่มีสังคมมนุษย์บนโลกแล้ว แต่เราจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ได้อย่างใจปรารถนาโดยไม่ประนีประนอมต่ออดีตและค่านิยมของสังคมเก่าเลยผลที่เกิดขึ้นก็คือการปะทะกันของคนสองรุ่นและเกิดเป็นความรุนแรง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาแล้วที่คนรุ่นใหม่ในยุคนั้นคิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมอุดมการณ์ของรัฐไปเป็นระบอบอื่น และสุดท้ายมันก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมของชาติ

ต้องยอมรับว่า นักคิด นักวิชาการ ปัญญาชนกลุ่มหนี่งที่ไม่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดความคิดให้คนรุ่นใหม่ที่ใช้ความห้าวหาญแสดงออกท้าทายระบอบกษัตริย์บนถนนและในโซเชียลมีเดียอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และพร้อมจะผลักดันคนหนุ่มสาวให้ตะลุยไปข้างหน้าโดยไม่ใส่ใจว่าคนหนุ่มสาวเหล่านั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

พวกเขายื่นข้อเสนอที่ท้าทายอำนาจรัฐและระบอบปัจจุบันว่า ถ้าไม่ยอม “ปฏิรูป” ก็ต้องถูก “ปฏิวัติ” นั่นคือการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฝ่ามือจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ พร้อมกับข้อเสนอที่สวยหรูว่า ข้อเรียกร้องของพวกเขาที่หนุนเนื่องด้วยคนรุ่นใหม่นั้นก็เพื่อรักษาระบอบกษัตริย์ให้สามารถดำรงอยู่ได้ หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกโค่นล้ม

ผลผลิตที่ประสบความสำเร็จของพวกเขาในวันนี้ก็คือ ชัยชนะของพรรคก้าวไกล

วันนี้พวกเขาจึงลำพองว่าชัยชนะและความฝันของพวกเขาอยู่แค่เอื้อมที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปตามใจปรารถนา ชัยชนะของพรรคก้าวไกลแม้จะเป็นเพียง20%ของเสียงส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็กู่ร้องว่านี่เป็นฉันทามติของสังคมไทยที่ต้องการเปลี่ยนแปลง พรรคก้าวไกลยืนยันหนักแน่นที่จะไม่ถอยข้อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่จะลดทอนสถานะของพระมหากษัตริย์ลงมาหากเราได้เห็นและได้อ่านร่างที่พวกเขาเคยเสนอเอาไว้ แบบที่เรียกได้ว่า พวกเขายอมหักแต่ไม่ยอมงอ

สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ข้างหน้าตามรอยกงล้อของประวัติศาสตร์ก็คือ ความขัดแย้งและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในสังคมไทย

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น