xs
xsm
sm
md
lg

ทางที่เหลือของประชาธิปัตย์ ไปไม่กลับหลับไม่ตื่นพื้นไม่มีหนีไม่พ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่สุดที่ยังมีลมหายใจอยู่กำลังจะหายใจอย่างรวยรินลงทุกที และยิ่งเกิดปรากฏการณ์การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคล่มเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วก็ต้องบอกว่ามีอาการน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง แต่ถ้าดูให้ลึกลงไปอีก แม้ว่าต่อให้การเลือกหัวหน้าพรรคไม่ล่มและเลือกกันได้สำเร็จก็มองไม่เห็นเลยว่าคนที่เป็นแคนดิเดทอาสามาเป็นหัวหน้าพรรคแต่ละคนจะพาพรรคฟื้นกลับมาได้อย่างไร

ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ออกมาของพรรคประชาธิปัตย์ได้ส.ส.เขต 22ที่นั่ง และส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง รวมเป็น25 ที่นั่งนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือคาดการณ์ คิดว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า ผลจะออกมาประมาณนี้ โดยส.ส.ภาคใต้ได้มาเพียง17ที่นั่งเท่านั้น และไม่ได้ส.ส.กทม.ถิ่นที่เคยยึดครองแม้แต่ที่นั่งเดียว 2 สมัยติดต่อกันแล้ว สะท้อนว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในช่วงขาลงและต้องพลิกฟื้นพรรคอย่างหนักและน่าจะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน

บทเรียนในภาคใต้นั้น เชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์น่าจะรู้ดีว่า จากที่เคยคิดว่า เป็นพื้นที่ที่ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ชนะนั้น ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะคนจำนวนมากเห็นว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์มองคนใต้เป็นของตายแล้วไม่เคยที่จะนำความเจริญมาสู่ภาคใต้อย่างที่ควรจะทำได้นั้นเองที่ทำให้คนใต้ต้องการลองพรรคการเมืองใหม่เพื่อหวังจะให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง และสัญญาณนี้ก็ถูกส่งจากคนใต้มาหลายครั้งในการเลือกตั้งหลังๆมา และครั้งนี้ส่งผลที่รุนแรงขึ้น และครั้งต่อไปก็น่าจะหนักกว่านี้อีก ถ้ายังไม่คิดปรับปรุงตัว

ส่วนพื้นที่กทม.นั้นก็ไม่มีคนเก่าที่เคยภักดีในฐานะพรรคที่เป็นฝ่ายกษัตริย์นิยมเหลืออีกแล้ว คนรุ่นที่เคยอุ้มพรรคมา ตอนนี้น่าจะล้มหายตายจากไปมาก ดูเหมือนมีทางเดียวที่จะนำพาพรรคกลับมาได้ก็คือต้องสร้างผู้นำที่มีคุณภาพที่คนกรุงเทพฯ จะเชื่อว่ามีความรู้ความสามารถและศักยภาพที่จะนำพาประเทศได้จริงไม่อาจขายความเป็นประชาธิปัตย์สีฟ้ามามัดใจคนกรุงเทพฯ ได้อีกต่อไปแล้ว

 พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนบัญชีรายชื่อจากทั่วประเทศเที่ยวนี้ไม่ถึงล้านคน เหลือเพียง 925,349 คะแนน จากที่เคยได้ระดับ 10 ล้านขึ้น นับเป็นความถดถอยอย่างรุนแรง

 ถ้าจะกลับมาให้ได้ บอกตรงๆ ว่าจะต้องให้คนเจนเนเรอชั่นนี้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ ณ เวลานี้ล้มหายตายจากไปให้หมดเสียก่อน และประชาธิปัตย์ต้องซื้อใจและสร้างความนิยมให้กับคนเจนเนอเรชั่นใหม่ที่จะขึ้นมาให้ได้ พูดก็พูดเถอะว่า ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ขายความเป็นพรรคเก่าแก่และเป็นพรรคสถาบันที่มั่นคงไม่ได้แล้ว ต้องรอความหวังจากคนรุ่นต่อไป

ขุนพลที่มีอยู่ของประชาธิปัตย์ตอนนี้ไม่มีใครโดดเด่นเลยที่จะนำพรรคพลิกฟื้นกลับมาได้ แม้จะฝากความหวังไว้เพียงแต่ว่า จะรักษาพรรคไว้อย่างไรไม่ให้ล่มสลายไปกับมือเท่านั้น

หรือใครคิดว่าตัวบุคคลที่มีอยู่ตอนนี้มีใครที่จะพาพรรคพลิกพื้นกลับมาได้ก็ลองเอ๋ยชื่อมาดู แต่บอกตรงๆ ตอนนี้ยังมองไม่เห็นและดูไม่มีความหวัง ว่าพรรคการเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับพวกคณะราษฎรที่ทำรัฐประหารช่วงชิงอำนาจกษัตริย์ และถือวันจักรีเป็นวันเกิดของพรรคจะกลับมาเข้มแข็งมั่นคงเพื่อรักษาชาติศาสน์กษัตริย์ให้ตั้งมั่นอย่างมั่นคงได้อย่างไร

 พรรคประชาธิปัตย์ต้องรีแบรนด์ใหม่และถ่ายเลือดใหม่อย่างหนัก ต้องทำให้คนเห็นว่า เป็นพรรคใหม่ที่ยังร่วมสมัยและเข้าใจโลกปัจจุบัน และหวังว่าจะกลับมาได้ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้าถ้าพรรคยังอยู่รอดไปได้ แต่ไม่ใช่แค่ 2-3 ทศวรรษนับจากนี้

คนเก่าแก่ของพรรคจะต้องทบทวนตัวเองและถอยออกมาจากการใช้อิทธิพลและบารมีกำหนดทิศทางของพรรค ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ได้มีบทบาทและกำหนดแนวทางที่จะนำพาพรรคไปในอนาคตกันเอง ระบบเจ้าขุนมูลนายลูกท่านหลานเธอหรือเด็กสร้างของผู้มีบารมีที่มักจะได้อภิสิทธิ์ก่อนเสมอจะต้องถูกทำให้หมดไปจากพรรค

นโยบายของพรรคต้องทำให้เห็นว่า มีความทันสมัยทันกับสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน แต่ไม่ทิ้งรากเหง้าของพรรคที่เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เฉพาะหน้าในการรักษาพรรคเพื่อจะประคับประคองพรรคให้เดินผ่านวิกฤตการณ์ไปให้ได้นั้น จะต้องกล้าเลือกคนที่มองเห็นว่า มีความรู้ความสามารถ สามารถสร้างความยอมรับให้กับสังคม มีภาพลักษณ์เป็นที่ยอมรับ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเป็นที่ประจักษ์ ไม่ใช่ไปขุดใครขึ้นมาก็ได้เพียงเพื่อแสดงความเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลที่กุมอำนาจในพรรค แต่ไม่ได้รับความยอมรับหรือความนิยมจากประชาชนเลย

 พรรคประชาธิปัตย์ต้องขจัดคนที่มีอิทธิพลในพรรค และใช้อิทธิพลนั้นตัดสินอนาคตของพรรค แทนความเหมาะสมและครรลองที่ควรจะเป็น ต้องทำให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เคยภาคภูมิใจ

ไม่กี่วันข้างหน้ายังไงเสียพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องมีหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะเล่นเกมการเมืองกันเพื่อดึงเกมออกไปอีกคงไม่ได้แล้ว แต่กว่าจะถึงวันนั้นก็ต้องคิดให้ได้ว่าจะเอาชนะกันเพื่อยึดอำนาจพรรคให้ได้แล้วคนชนะจะมีความสามารถจะนำพาพรรคกลับมารุ่งเรืองได้ไหม หรือคิดเพียงว่าจะสามารถพลิกผันเข้าไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้เพื่อจะได้ไม่อดยากปากแห้งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และเพื่อให้คนที่ได้ลงทุนลงปัจจัยในการเลือกตั้งได้มีโอกาสหาทุนกลับคืนมา

ในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลครั้งที่แล้วนั้น อาจจะเพราะกระแสมวลชนกดดันให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเข้าร่วม แต่ผมก็เคยเตือนไว้แล้วว่า การกินน้ำใต้ศอกของพรรคพลังประชารัฐแกนนำรัฐบาลในครั้งที่แล้วนั้น จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งเล็กลง เพราะถ้าทำดีผลดีก็จะตกกับพรรคแกนนำที่มีฐานมวลชนเดียวกัน แต่ผลเสียก็จะต้องแบกรับไปด้วย ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย

คนไหนที่รู้ตัวเองว่า ไม่มีความสามารถที่จะนำพาพรรคเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป และสามารถช่วยปั้มหัวใจของพรรคที่ริบหรี่ให้ฟื้นกลับมาได้ ก็ควรจะประมาณตัวเอง ถอยไปเป็นสมาชิกที่ดีของพรรคไม่ทำตัวเป็นไอ้เข้ขวางคลอง

คนที่จะเข้ามาบริหารพรรคต้องเลิกที่จะคิดว่าจะพาพรรคให้ฟื้นกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเร็ววัน ไม่ใช่แค่เพราะความเป็นพรรคการเมืองก็ต้องคิดเพื่อเป้าหมายมีอำนาจ แต่ต้องสำเหนียกความจริงว่า โอกาสนั้นไม่มีแล้ว นอกจากรอคอยให้สามารถสร้างพรรคกลับมายึดครองใจประชาชนให้ได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกนาน หรืออาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วเลยก็ได้ แต่ก็ต้องไม่ทดท้อและสิ้นหวังที่จะมุ่งไปข้างหน้า รอคอยคนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นใหม่ที่มีความคิดใหม่และสร้างพรรคให้ลงตัวกับความคิดของคนรุ่นนั้น

พรรคประชาธิปัตย์จะคิดว่า พรรครวมไทยสร้างชาติที่มีฐานมวลชนเดียวกันจะเป็นพรรคเฉพาะกิจแล้ว วันหนึ่งถ้าพรรคนี้ล่มไปมวลชนของพรรคจะกลับมาหาพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะคนรุ่นนี้ไม่มีความภักดีต่อพรรคการเมืองเหมือนคนรุ่นเก่า พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีข้อเสนอที่ดีกว่า ความคิดเชิงอุดมการณ์กลายเป็นเรื่องรอง

 และผมคิดว่าการเมืองไทยในทศวรรษข้างหน้าอย่างน้อยอีก 10-20 ปีนั้นจะเปลี่ยนไป พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ใช่ตัวเล่นแบบในอดีตที่เดี๋ยวเป็นแกนนำรัฐบาลสลับเป็นฝ่ายค้านแล้วกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลได้อีก แต่พรรคประชาธิปัตย์ถ้ายังไม่สามารถหาหัวหน้าพรรคที่โดดเด่นและมีนโยบายที่ดึงดูดได้ก็จะเป็นเพียงพรรคตัวประกอบเท่านั้นเอง การเมืองต่อไปจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างสองพรรคการเมืองคือพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย โดยพรรคเพื่อไทยจะกลายมาเป็นที่พึ่งของฝ่ายอนุรักษนิยมเพื่อรับมือกับความท้าทายที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากพรรคก้าวไกล

คนที่ขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในเวลานี้ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่จะต้องคิดเพื่อพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตข้างหน้า แม้โอกาสยังมองไม่เห็นลู่ทางว่าจะกลับมาได้อย่างไร ก็ต้องคิดว่าความหวังที่จะพลิกฟื้นกลับมาย่อมต้องมี

 แต่บอกตรงๆ ว่าการเมืองที่เล่นกันอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ทั้งหัวขาวและหัวดำมีแต่นำพาพรรคไปสู่ความล่มจม

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น