หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
แม้ไพศาล พืชมงคล จะหอบหิ้วชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลไปพบกับผู้ใหญ่บางท่านแล้วกลับมาฝันหวานตอนตี 2 ว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ส่วนผมไม่ได้ฝันแต่ตรวจสอบข้อมูลจากบรรดาส.ว.ก็ยังยืนยันถึงวันนี้ยังนับไม่ถึงสิบนิ้วที่จะยกมือให้พิธา ดังนั้นยืนยันได้ว่า พิธาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงในฝันของไพศาลเท่านั้น
มีคนไม่น้อยกลัวกันว่า แม้ว่าจะสามารถต้านทานพรรคก้าวไกลไม่ให้เป็นแกนนำรัฐบาลได้ในครั้งนี้ แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะยิ่งทำให้พรรคก้าวไกลได้เลือกตั้งเข้ามาในสภามากขึ้น แต่ก็มีคนบอกว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมานั้น คนไทยจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลงเพราะเขาเบื่อรัฐบาล 3 ป. แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะได้พบเห็นกับความก้าวร้าวขึ้นอย่างฉับพลันหลังชัยชนะ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเลือกพรรคนี้ เพราะคิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่หนทางที่ดีกว่า เขายังไม่เห็นชัยชนะที่เหิมเกริมของพรรคการเมืองที่ทำให้เกิดการเรียกร้องเพื่อทำประชามติแยกดินแดนในภาคใต้ เขาไม่ได้เห็นเด็กคนหนึ่งที่ก้าวร้าวและท้าทายกฎระเบียบของสังคมอย่างไร้เหตุผลโดยมีผู้ใหญ่ที่หิวแสงจำนวนหนึ่งคอยให้ท้าย เขาไม่ได้เห็นส.ส.คนหนึ่งที่คิดจะเปลี่ยนแปลงวันชาติ ฯลฯ
เขาไม่ได้เห็นคนๆ หนึ่งที่ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกด้านชาติพันธุ์ของคนในชาติ ทั้งที่คนบนแผ่นดินไทยอยู่กันมาโดยไม่มีความขัดแย้งเรื่องนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนม้ง ปกากะญอ กูย มอญ ฯลฯ ที่เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยด้วยกัน หรือแม้แต่คนจีน คนอินเดีย ที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทยก็ล้วนแต่รักความเป็นไทย ไม่มีใครถูกมองเป็นคนอื่น
มันเห็นแล้วว่า หากปล่อยให้พรรคการเมืองหนึ่งเข้ามาบริหารประเทศจะเกิดความเสียหายขึ้นอย่างใหญ่หลวง จนยากจะเยียวยา จะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง จะเกิดความแตกสามัคคีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สุดท้ายก็จะแตกหักกันกลายเป็นโศกนาฏกรรม
วันนี้เราคงไปทัดทานคนรุ่นใหม่ที่สมาทานกับความคิดของพรรคก้าวไกลและของแกนนำพรรคก้าวไกลทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังไม่ได้ พวกเขาถูกทำให้มีความคิดที่ชิงชังต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือแม้แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ สถาบันครอบครัวที่เป็นหน่วยเล็กที่สุดที่จะเป็นห่วงโซ่ที่หลอมรวมกันเป็นชาติ ยังถูกใส่ความคิดว่า พ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับลูก ครูไม่มีบุญคุณกับลูกศิษย์ หรือแม้แต่ศาสนาก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งเราคงได้แต่ทำใจปล่อยให้คนรุ่นนี้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ของสังคมและหวังว่าระยะเวลาและวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้นจะเรียกสติของพวกเขากลับมาได้
ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลเที่ยวนี้ และอีก 4 ปีข้างหน้าคนในสังคมยังคงแห่แหนที่จะเลือกพรรคนี้อยู่ หรือเลือกเข้ามามากกว่าเดิม เราอาจจะต้องยอมรับกับเจตจำนงส่วนใหญ่ของคนในประเทศ ยอมรับชะตากรรมร่วมกัน แต่ก็ยังแอบหวังว่า พฤติกรรมเหิมเกริมที่เกิดขึ้นในช่วงวลานี้ของพวกเขาจะทำให้คนไทยตั้งสติว่า เราจะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งไหม หากเลือกพรรคที่ประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศเปลี่ยนดินแดนที่มีความสงบสุขไปไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อไป
เราคงไม่ไปขัดขวางฉันทามติของประชาชนด้วยการใช้กฎกติกาที่ไม่ชอบธรรม แต่ถ้าเรายังสามารถต้านพวกเขาเอาไว้เพื่อซื้อเวลาให้คนในสังคมส่วนหนึ่งได้สติ ด้วยกฎกติกาที่เขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญและการเล่นในเกม นั่นหมายความเรายังมีความชอบธรรมที่จะต่อต้านพวกเขา ผมคิดว่า ส.ว.ทุกคนมีความชอบธรรมที่จะใช้ดุลพินิจของตัวเองว่า ทางเลือกไหน ทางออกไหนที่ก่อให้เกิดผลดีของประเทศมากกว่า เพราะนี่เป็นกติกาที่ทุกคนรับรู้กันอยู่แล้วแต่ต้น แม้ว่ามันอาจจะทางเลือกและทางออกในระยะเวลาอันสั้น เหมือนกับการซื้อเวลา แต่มันก็ย่อมจะดีกว่าการปล่อยมือให้ทุกอย่างพังทลายลงไปในพริบตา
ประเทศที่มันหักพังลงแล้ว คนในชาติไม่เหลือความผูกพันในความเป็นชาติหรือมองว่าความเป็นไทยเป็นสิ่งล้าสมัยเสียแล้ว ถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นจนสุดทางสุดท้ายเราก็อาจจะยากที่จะกู้กลับคืนมา
ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็ต้องช่วยรักษา 3 เสาหลักของความเป็นไทยเอาไว้ นั่นคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
วันนี้เราเห็นแล้วว่า ความแตกแยกเหลืองแดงในเกือบสองทศวรรษนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสียแล้ว เพราะนั่นเราเพียงแต่ขัดแย้งกันเรื่องความเห็นต่างทางการเมือง เรื่องของตัวบุคคล ไม่มีใครมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไปจากอุดมการณ์และรูปแบบของรัฐ หรือมีก็เป็นส่วนน้อยที่ซ่อนตัวอำพรางอยู่ แต่วันนี้ความคิดของกลุ่มหนึ่งนั้นกล้าที่จะเปิดเผยท้าทายยิ่งขึ้นพวกเขาไปไกลถึงขั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ แม้วันนี้พวกเขาจะพูดอย่างนั้นออกมาตรงๆ ไม่ได้ แต่เราก็เห็นจากพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงออก
วันนี้พวกเขาพูดว่าต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อสามารถให้ดำรงอยู่ได้ นั่นเป็นเพียงคำพูดที่พวกเขาอำพรางเป้าหมายที่แท้จริง และหลีกเลี่ยงความผิดทางกฎหมาย แต่ความจริงแล้วพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศแบบพลิกฝ่ามือ ด้วยการอ้างการปฏิรูปแล้วค่อยลิดรอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ลง แน่นอนว่า เป้าหมายของคนจำนวนหนึ่งนั้นคิดไปไกลถึงการเป็นสาธารณรัฐ ด้วยวิธีการที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐลงไป เริ่มด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็น 77 รัฐ
แน่นอนว่าในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากนั้น ทุกองคาพยพของสังคมก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สอดคล้องกับยุคสมัย และเราได้เห็นแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้ปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสังคมและยุคสมัยในหลายด้าน
แต่ทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็นค่อยไป ไม่ใช่ต่อต้านสิ่งต่างๆ ในสังคมที่เราไม่เห็นด้วยด้วยการทำลายล้าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องทำลายตัวเองด้วย เพราะคนเราเมื่อผ่านวัยวันเวลาเข้ามาหล่อหลอมชีวิตความคิดและทัศนคติก็จะค่อยเปลี่ยนแปลงไป บางครั้งเราจะนึกย้อนไปเสียใจกับการกระทำในอดีตและตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราถึงทำอย่างนั้น
ผมไม่คิดว่า คน 14 ล้านคนจะมีความคิดที่สมาทานกับแนวทางของพรรคก้าวไกลและแกนนำที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยกับแนวคิดที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เพื่อเสรีภาพในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน หรือปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกทางชาติพันธุ์บนแผ่นดินไทย
แต่พวกเขาเพียงแต่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากความเบื่อหน่ายเกือบทศวรรษภายใต้อุ้มมือของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการ พวกเขาต้องการเห็นความคิดใหม่ คนใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศบ้าง แต่ไม่ได้คิดว่า พวกเขาจะกลายเป็นเครื่องมือของคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปแบบพลิกฝ่ามือ ทำประเทศที่สวยงามไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อไป
คิดว่าวันนี้คนจำนวนไม่น้อยที่ออกไปลงคะแนนให้พรรคนี้ตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย แน่นอนล่ะในทางตรงกันข้ามก็ต้องมีคนที่กำลังสะใจกับสังคมไทยที่กำลังจะถูกท้าทายทั้งจารีตประเพณีและค่านิยมให้ไปสู่หนทางใหม่ที่พวกเขาพึงปรารถนา แต่ขอให้เพียงแต่มีคนส่วนหนึ่งได้ยั้งคิดถึงความผิดพลาดของตัวเองที่หยิบยื่นให้กับมือที่กำลังบดขยี้สังคมไทยแล้วแยกตัวออกมา การเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยังมีความหวังว่าคนไทยอีกหลายสิบล้านจะรับมือกับความท้าทายนี้ได้ รวมทั้งคาดหวังว่า วันเวลาจะทำให้คนอีกจำนวนหนึ่งเติบโตมีสติยั้งคิดมากขึ้น
หากพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลอย่างที่น่าจะเป็นอย่างนั้น ณ เวลานี้ ก็คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่จะมานำพาประเทศไทยไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีจะทบทวนกับความผิดพลาดในอดีต ความผิดพลาดทั้งที่ตัวเองกระทำ และรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งกระทำเพื่อนำพาประเทศไทยไปบนหนทางที่ถูกต้อง และทำให้เห็นว่าสังคมไทยที่เป็นอยู่นั้นมันมีสิ่งที่ดีงามอยู่แล้ว อาจจะเพียงแต่ทุกคนช่วยกันประคับประคองกันด้วยหัวใจก็เชื่อว่า เราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมั่นคง
แม้วันนี้เหมือนจะพ่ายแพ้ท้อแท้แต่เราอย่าเพิ่งสิ้นหวัง คนที่ก้าวไกลก็อาจจะไปไม่ถึงเพราะอาจจะสะดุดล้มลง ก้าวสั้นๆแต่มั่นคงอาจบรรลุจุดหมายก่อน วันเวลาที่ยังหมุนไปข้างหน้านั้นไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง มันมีโอกาสและหนทางให้เราฝ่าฟันไปได้เสมอ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan