อีกไม่กี่วันจะถึงวาระพิสูจน์ความจริงใจของ 8 พรรคร่วมลงนาม MOU ว่าจะตั้งรัฐบาลด้วยกัน เมื่อสภาฯ กำหนดวาระเลือกประธานวันที่ 4 กรกฎาคม
ทุกวันนี้ยังตกลงกันไม่ได้ว่าพรรคใดควรได้ตำแหน่งนี้ การเจรจาที่ผ่านมายังหาข้อสรุปไม่ได้ เมื่อพรรคคนรุ่นใหม่และพรรคนายห้างดูไบต่างอยากได้
เกมชิงอำนาจไม่มีใครยอมใคร การเมืองเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้อำนาจรัฐนำไปสู่ผลประโยชน์และอำนาจเพิ่มเพื่อความอยู่รอดยาวนาน
พรรคคนรุ่นใหม่มักกล่าวหาองค์กรต่างๆ แม้กระทั่งการแต่งเครื่องแบบนักเรียนในโรงเรียนว่าเป็นรูปแบบของ “อำนาจนิยม” พูดแล้วตัวเองดูเท่ สูงส่ง
ถามว่าพรรคการเมืองไหนบ้างไม่ต้องการ “อำนาจ” พรรคคนรุ่นใหม่ยิ่งดิ้นรนอยากได้อำนาจมาก เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศ ประเพณี วัฒนธรรม สารพัดที่จะเพ้อฝัน ลามไปถึงการลดทอนอำนาจสถาบันกษัตริย์ แบ่งแยกดินแดน
เมื่ออยากได้อำนาจ ต้องไม่กล่าวหาผู้อื่นว่า “นิยมการมีอำนาจ”
นี่ยังไม่มีอำนาจอะไรสักอย่าง เพิ่งได้เป็น ส.ส.ก็ยังประกาศจะใช้อำนาจเพื่อทำอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงประเทศแบบพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน ไม่แยแสใครทั้งนั้น
น่าจะรู้ว่าการใช้อำนาจเพื่อให้ได้อะไรตามใจ ต้องเผชิญฝ่ายตรงข้ามที่มีอำนาจเช่นกัน ทั้งยังมีอำนาจสารพัด เครือข่ายกว้างขวาง ผลประโยชน์ที่ต้องปกป้อง
พรรคคนรุ่นใหม่กระหายอำนาจ สิ่งแรกที่ต้องการคือเก้าอี้ประธานสภาฯ เพื่อเป็นฐานอำนาจในการเสนอ แก้ไข ยกเลิกกฎหมายต่างๆ ที่ตัวเองไม่ชอบ
การดิ้นรนเพื่อให้ได้อำนาจของประธานสภาฯ ก็ยังเผชิญกับแรงต้านของฝ่ายมีอำนาจพอๆ กัน นั่นคือพรรคนายห้างดูไบ ที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมเด็ดขาด
จากนี้ไป ก็ต้องเสแสร้งเจรจาหาทางออก ไม่อยากให้แตกหักตั้งแต่เริ่ม มีประเด็นรายการหักดิบซึ่งหน้า โดยเสียงร่ำลือว่าจะมีพรรคอื่นเสนอชื่อคู่ชิงซึ่งเป็นคนของพรรคนายห้าง จะลงคะแนนลับ หักคอพรรคคนรุ่นใหม่ แบบจับมือใครดมไม่ได้
เกมอำมหิตเพื่อชิงอำนาจและผลประโยชน์ ไม่มีใครปรานีใคร
ถ้าเป็นไปอย่างที่ว่านี้ จะมีวาระหักคอในการเลือกนายกฯ ทำให้พรรคคนรุ่นใหม่ช้ำในหัวอก ด้วยเกมโหด ผลสุดท้ายคนรุ่นใหม่ต้องเป็นฝ่ายค้านอีกรอบ
“ฝ่ายประชาธิปไตย” สายดูไบ จะลงเอยด้วยการร่วมกับพวกอนุรักษนิยม เสียงร่ำลือว่าลุงป้อมเดินทางไปอังกฤษเพื่อสรุปแนวทางการเข้าสู่อำนาจเต็มบ้อง
ด้วยเหตุที่มี ส.ว.อยู่ในอาณัติ สามารถทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยก่อนแล้วผ่องถ่ายคนจากพรรคนายห้างดูไบมาร่วม ใครจะว่าอะไร ไม่เป็นประชาธิปไตยก็แล้วแต่ เพราะ The end justifies the means ผลสุดท้ายเป็นตัววัดความสำเร็จ
การหักหลังเป็นส่วนสำคัญของการเมืองที่ไร้คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม
จะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นความย้อนแย้ง “พรรคคนรุ่นใหม่” ถูกชูว่าเป็นคนดีมีอุดมการณ์สูงส่งมุ่งทำงานเพื่อบ้านเมืองโดนหักดิบโดยกลุ่มทุรชนการเมือง มีประสบการณ์ในเกมชิงอำนาจอย่างโชกโชน ทั้งยังเคยเป็นฝ่ายถูกกระทำด้วย
พรรคคนรุ่นใหม่ที่อ้างว่ามาอันดับหนึ่ง จะต้องได้เก้าอี้ประธานสภาฯ และนายกฯ ด้วยนั้นจะถูกพิสูจน์โดยสัจจะโจรว่า “คิดหวังอะไรได้ แต่จะให้ได้หมดนั้นไม่ง่าย”
จึงมีเสียงเตือนตั้งแต่แรกแล้วว่า เสียงต่างกันเพียง 10 “ไม่ควรกินรวบ”
ความอหังการในอำนาจที่ยังไม่มี ออกอาการพองขน คิดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ท้าทายอำนาจเดิม ย่อมสร้างความหมั่นไส้และความรู้สึกปฏิปักษ์
การผิดคำมั่นสัญญาหลายอย่างที่เคยโม้ไว้ช่วงหาเสียง ทำให้เกิดความเสื่อมระดับหนึ่ง เนื้อแท้ของกลุ่มผู้สนับสนุนจึงเป็นเพียงพวกเด็กเจี๊ยวอยากล้มสถาบันที่โดนปั่นหัวจนลืมบุญคุณพ่อแม่ ครูอาจารย์ ไม่รู้สำนึกคุณบ้านเกิดเมืองนอน
การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อยังไม่เกิดขึ้นก็อาจเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยตัวแปร ดังนั้นเก้าอี้ประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรียังเป็นเดิมพันเพื่อการช่วงชิง
คำว่า “ประชาธิปไตย” จึงเป็นเพียงคำอ้างเพื่อการเข้าสู่อำนาจ ให้เป็นคำข่มฝ่ายตรงข้าม ฟังดูแล้วเหมือนเป็นผู้สูงส่ง ความเป็นจริงคืออำนาจอีกรูปแบบหนึ่ง
ที่ชัดเจนคือไม่ใช่อำนาจของประชาชนตามคำอ้าง มีตัวแทนผ่านการเลือกตั้งเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ การโกงกินอย่างมูมมามนำไปสู่การรัฐประหาร เปลี่ยนขั้วอำนาจให้ฝ่ายหิวโหยเข้ามายึดอำนาจเพื่อขอโกงกินบ้าง เป็นวงจรอุบาทว์
จุดเปลี่ยนผ่านที่จะเกิดขึ้นต้นเดือนหน้า อาจเป็นจุดหักเหของขั้วอำนาจ หรือนำไปสู่เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เช่นความวุ่นวายเมื่อกลุ่มเสียโอกาสได้อำนาจออกมาเดินถนน ท้าทายกลุ่มกุมอำนาจรัฐและเสียงข้างมากในสภาฯ
หวังได้แต่ว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะรักษาความเป็นประชาธิปไตย ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีความรุนแรงโดยกลุ่ม “ทะลุ” ทั้งหลายที่ยังมีคดีอาญาติดตัว
“ประชาธิปไตย” โดยมีความรุนแรง เป็นการใช้อำนาจแบบอนาธิปไตย กฎหมู่ละเมิดกฎหมาย การไม่เคารพกฎหมายไม่เป็นหลักการของประชาธิปไตย
ถ้าสถานการณ์เกินเลย มีเหตุร้าย ก็จะมีคนใช้อำนาจจัดการความรุนแรงรักษาความสงบ ถ้าจบด้วยฝีมือ “ลุงตู่” แบบนี้จะอยู่ต่ออีกนาน อย่าให้เข้าทางเชียวนะ