xs
xsm
sm
md
lg

“นักการเมือง” ต้องทำเพื่อชาติ-ประชา?(ตอนสิบหก) “กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย” กับ“คานธี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

 สัจธรรม-คำคมแห่งอดีตกาลของ “คานธี” ยังตรงกับการเมือง “ถอยหลังลงคลอง” ยุคนี้..!


ขอเริ่มด้วยคำคมสั้นๆ ของ “คานธี” ซึ่งพ้องกับพฤติกรรมของ “จอมตระบัดสัตย์” ยุคดิจิทอล เยี่ยง “บิ๊กตู่-บิ๊กเหลี่ยม-บิ๊กพิธา” ที่ว่า “การผิดคำมั่นสัญญาเป็นการทอดทิ้งสัจจะที่ต่ำช้า”

บุคคลทั้งสาม ไร้คุณสมบัติที่จะเป็น“ผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับหลักสัจจะ จะต้องพร้อมเสมอที่จะตายเพื่อสัจจะได้”

แม้จะมีสถานะสูงส่ง ระดับเป็น “นายกฯ” กับ “ว่าที่นายกฯ” แต่บุคคลทั้งสามล้วนมีพฤติกรรม “โกหก” จนประชาชนสิ้นศรัทธาเชื่อมั่น ฉายา “จอมตระบัดสัตย์” จึงติดตัวไปกับ “สองนายกฯ ตู่-เหลี่ยม”!

ทางด้าน “ว่าที่นายกฯ หนุ่มหล่อ” ยังวัยเยาว์ ไม่ทันจะได้ครองตำแหน่ง“ นายกฯ สมใจนึก” ก็ทำเรื่อง “โกหกรัวๆ” อย่างหน้าด้านๆ จนได้สมญา “พิธาคิโอ” ไปแล้ว..

 “สำหรับผู้บูชาสัจจะแล้ว คำสรรเสริญและนินทาควรจะมีค่าเท่ากัน เพราะฉะนั้นผู้บูชาสัจจะย่อมจะไม่ฟังคำสรรเสริญ และจะไม่เคียดแค้นในเมื่อได้ยินคำนินทา”
 
เอ๊ะ! ผมได้ยินเสียงหัวเราะหยามหยันรอบทิศจาก “ผู้คน” มหาศาล ต่อ “คน” อย่าง “ตู่-เหลี่ยม-พิธาคิโอ” เลยว่ะ..

 “สิ่งที่เรียกร้องอาจจะเป็นได้ทั้งสัจจะและอสัตย์ แต่ถ้าไม่เลิกละอสัตย์เสีย คนเราก็ย่อมไม่ถึงสัจจะ” และ“ยาพิษแห่งอสัจจะเพียงหยดเดียว ก็สามารถทำให้มหาสมุทรแห่งสัจจะกลายเป็นพิษไปได้ทั้งหมด” 

“คานธี” ยังย้ำแล้วย้ำอีกว่า  “การพูดที่ไร้สาระก็เท่ากับการทำลายความสัตย์ เพราะฉะนั้นการรักษาความสงบ คือการไม่พูด จึงย่อมช่วยให้เรารักษาความสัตย์ได้ง่ายขึ้น” 

ด้วย “มนุษย์” ที่อยู่เหนือ “คน” ล้วนรู้กันอยู่แล้วว่า “สัจจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงวิญญาณ แต่อสัตย์ทำลายวิญญาณ” เพราะ  “ทุกๆ วันเราจะได้รับบทเรียนจากผู้ที่พูดและประพฤติความสัตย์ แม้แต่กระนั้นเราก็ไม่เคยคิดว่าจะกระทำตามเขา” 

“คานธี” ยังมักมี “คำถาม” ผุดโผล่ขึ้นมาถึงทุกคนทุกวันว่า “ทำไมหนอคนจึงได้กลัวที่จะพูดและกระทำความสัตย์ ส่วนอสัตย์นั้นไม่กลัว”

โดย “คานธี” ได้เคยพูดและบันทึกไว้ว่า “คำพูดที่จริงนั้น แม้เพียงคำเดียวก็พอ แต่คำพูดที่ไม่จริง ถึงแม้จะมีมากมาย ก็เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น” เพราะ “สัจจะต้องปรากฎอยู่ในความคิด คำพูด และการกระทำ”

สุดท้าย “มหาตมา คานธี” ได้ยกคำคม “สั้นมากๆ” แต่ “โคตรมีพลัง” ซึ่งกลายเป็น “อมตวจนะ” ของ “ท่านกวีตุลสีทาส” ของชาวอินเดีย ซึ่งจะยังคงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล ที่ว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์”!

อืม..เจ๋งไหม? สุดยอดไหม? ที่ “ท่านมหาตมา คานธี” นำคำคมสั้นๆ ของ “ท่านกวีตุลสีทาส” ที่ได้พูดกับ “ชาวอินเดีย” และ “ชาวโลก” แต่ดันทะลึ่งมาตรงกับ “คนชั่วกลุ่มหนึ่ง” ที่เป็น “นักการเมือง-ข้าราชการ-พ่อค้านักธุรกิจ” ไทย โดยเฉพาะ “คน” ระดับ “ว่าที่” กับ “นายกฯ ตัวจริง” รัฐบาล “บิ๊กเหลี่ยม-บิ๊กตู่” กับ “พิธาคิโอ” จัดเป็น “กลุ่มผู้นำจอมโกหก” ที่พูดจาหลอกลวงประชาชนอย่างหน้าตาเฉย จน “ผู้คน”ทั่วไทยพากันประณามหยามเหยียดว่า “ไอ้พวกนักการเมืองไทยแม่งชอบหลอกคนไทยอย่างหน้าด้านๆ” ว่ะ..!!!
คานธี” ยังพูดถึงสันดาน “มนุษย์” ไว้ตรงกันว่า “ธรรมดามนุษย์เราจะดูหรือจะฟังสิ่งใด ก็แต่ที่ตนปรารถนาจะได้ดูได้ฟังเท่านั้น คนทำสวนจะดูก็แต่ดอกไม้ในสวน แต่ปรัชญาเมธีจะไม่สนใจดอกไม้เหล่านั้นเลย เขาอาจจะไม่ได้สังเกตเสียด้วยซ้ำไป ว่าตัวเขาเองกำลังอยู่ในสวนหรือนอกสวน”

มิน่าล่ะ! “นักการเมืองไทย-ข้าราชการ-พ่อค้านักธุรกิจ” ตั้งแต่อดีตจรดอนาคต จึงคิดและทำชั่วช้าสามานย์มาตลอด ทำให้ “ชาติ” กับ “ประชาชนไทย” เสียหายอย่างมหาศาล จาก “สันดานชั่ว” ที่เผลอไม่ได้ มัก “โกงชาติ” มโหฬารเสมอ.. เฮ้อ!..เวรกรรมชาติไทยคนไทยจริงๆเลยนะโว้ย..!

 “ท่านไม่พอใจใคร ไม่พอใจตัวท่านเองหรือ ดี! ขอให้ไม่พอใจตัวท่านเองทุกวัน คนอื่นนอกนั้นท่านไม่มีสาเหตุอันใดที่จะไม่พอใจเขา” 

อ้อ..ขออนุญาตระบุให้ชัดเจน.. คำว่า “เขา” ของ “คานธี” นั้น หมายถึง “ประชาชน” แน่นอน!

 “เราไม่อยากดูความผิดของตนเอง แต่อยากดูความผิดของผู้อื่น ความวุ่นวายและยุ่งยาก เกิดจากนิสัยอย่างนี้ไม่น้อยเลย” 
“คานธี” ยังย้ำต่ออีกว่า  “เป็นความเคยชินของมนุษย์ที่จะละลืมความผิดของตนเอง แต่จะเฝ้าดูความผิดของผู้อื่น แล้วความเคยชินเช่นนี้ ก็จะสร้างความไม่สมหวังให้แก่เขาในที่สุด” 

นิสัยหรือสันดานเช่นที่ “คานธี” กล่าวไว้ นับแค่ในระยะปัจจุบันอันใกล้ของไทยนั้น “บางคน” ระดับ “นายกฯ” ทำแต่เรื่องตระบัดสัตย์ “โกงชาติ” ผิดกฎหมายจนฉาวโฉ่ไปทั่วไทย! “บางคน” รู้ซึ้งถึง “ต้นเหตุปัญหามิติต่างๆ” มาตลอด ได้โอกาสมี “อำนาจในมือ” ต่อเนื่องนาน 9 ปี แต่กลับ “ตระบัดสัตย์” ปล่อยให้ชาติกับประชาชนเสียหายอย่างใหญ่หลวง ด้วยการ “ไม่ปฏิรูปชาติ” แม้แต่เรื่องเดียว จนจวนเจียนจะหมดสิ้นอำนาจลงแล้ว.... “นายกฯ คนนั้น” โคตรเห็นแก่ตัวจริงๆเลยว่ะ..!
 “ถ้าท่านจะหัวเสียเพราะความผิดพลาด ท่านก็ต้องหัวเสียด้วยความผิดพลาดของตัวท่านเอง ใยจะเป็นเพราะความผิดพลาดของผู้อื่นเล่า” 

นั่นเป็นคำกล่าวของ “คานธี” ที่คงเจาะจงถึง “ใคร” มากมายหลายคน ซึ่งดันมาตรงกับ “นายกฯ-ผีเข้าผีออก” ที่เป็น “ผีหลงตัวเอง” ติดยึดในบ่วงวงจร “อำนาจ” จนละเลยการทำภารกิจในเรื่อง “สำคัญๆ” อย่างให้อภัยไม่ได้ เพราะเป็น “นายกฯ” ที่ “อยู่ในอำนาจยาวนาน” อย่างไม่คุ้มค่าต่อชาติและประชาชน..???

ที่ผมยกคำคม“คานธี” มาบอกกล่าวให้ “นายกฯ”กับ “ว่าที่นายกฯ”  อย่าง “ตู่-เหลี่ยม-พิธาคิโอ” ก็เพราะ..

 “คนอื่นเท่านั้นดอกที่จะเห็นหลังของเราได้ ตัวเราย่อมมองไม่เห็น ฉันใด ความผิดของเราเอง เราก็ย่อมมองไม่เห็นฉันนั้น”  และอีกหนึ่งเหตุผลคือ..  “ผู้ใดที่คอยจับผิดคนอื่น ผู้นั้นย่อมไม่พบความผิดของตนเอง”! 

ใช่เลย! น่าเศร้าจริงๆ ที่ “นายกฯ หลายคน” ไม่เคยเห็น “จุดบกพร่อง” และ “แก้ไขความผิด” ของ “ตัวเอง” ที่กระทำชั่วไว้ในยามมีอำนาจอย่างยาวนาน จนกระทั่งกำลังจะหมดอำนาจลง..?

  “ความผิดจะไม่เป็นผิดต่อไป เมื่อมีการแก้ไขความผิดนั้นให้เป็นถูกเสีย หากปิดบังเอาไว้ ความผิดจะกลัดหนอง แล้วจะแตกออกมาเป็นอันตรายได้เหมือนฝี” และ

  “การสารภาพความผิด ไม่ช่วยลบล้างความผิดได้ แต่ความผิดควรได้รับการลบล้าง ด้วยวิถีทางทุกประการ” 
“คานธี” ยังย้ำแล้วย้ำอีกว่า “จงอย่าได้ปกปิดความผิด แม้คนผิดจะเป็นพี่น้องของท่าน”!!!
ความผิดของ “หลายนายกฯ” เกิดจาก “ตัวเองกับญาติพี่น้องพรรคพวก” เมื่อหมดสิ้นอำนาจลง จึง “ลบล้าง” ความผิดของ “ตนเอง” ไม่ได้แล้ว “ความชั่ว” ที่ทำไว้ต่อชาติกับประชาชน จึงถูก “จารึก” ไว้ในประวัติศาสตร์ ยุคที่“ ตัวเอง” มีอำนาจ แทนที่จะมุ่งทำดี กลับ “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” ทำแต่กรรมชั่ว เป็นตราบาปต่อชื่อเสียงตนเองและวงศ์ตระกูล..?

“คานธี” จึงบอกอยู่เสมอว่า “คนเรามักจะไม่ยินดีที่จะสละเวลาเพื่อสิ่งที่ดีงาม หากจะหลงใหลสิ่งที่ไร้สาระ แล้วก็มักจะชื่นชอบในสิ่งเหล่านั้นเสียด้วย” โดย “คานธี” ได้เน้นว่า “แม้แต่ชั่วนาทีเดียวที่ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็จะไม่มีวันกลับคืนมาได้ แต่ทั้งๆที่รู้เช่นนี้ คนเราก็ยังปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เสียมากต่อมาก”

“คานธี” นิยามชีวิตการกระทำของ “ตัวเอง” ไว้ว่า “ที่ใดมีศรัทธา ที่นั่นย่อมไม่มีความสิ้นหวัง” และ “การกระทำของข้าพเจ้าจะคงอยู่ต่อไป หาใช่คำพูดหรือข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่”!

สุดท้ายขอปิดด้วยคำคมเรียบง่ายของ “คานธี” ทว่าลุ่มลึกน่าซาบซึ้งยิ่ง ที่ว่า “ความยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่การเป็นมนุษย์ แต่อยู่ที่มีมนุษยธรรม”!!

“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ได้บันทึกข้อความไว้ว่า “อาจเป็นไปได้ที่ในยุคต่อไป จะไม่มีใครอยากเชื่อว่า บุคคลเช่นนี้ก็เคยมีชีวิตชีวา เดินเหินอยู่บนพื้นโลกนี้”!!!

ด้วยคุณค่าอย่างยิ่งของหนังสือ “อมตวจนะคานธี” ที่ “กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย” รวบรวม-แปล! ซึ่ง “ผมไม่รู้จักตัวท่านเลย” หาก “ท่านใด” ที่รู้จักท่าน ได้โปรดบอกต่อถึง “คุณกรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย” ด้วยว่า “ผม-ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย” เห็นถึง “คุณอนันต์”ใน “อมตวจนะคานธี” จึงได้เผยแพร่ออกไปอีกทอดหนึ่ง และขอกราบขอบคุณไว้ ณ ที่นี้..


กำลังโหลดความคิดเห็น