หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
พรรคก้าวไกลหาเสียงว่าประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมถ้าเลือกพรรคก้าวไกลให้เป็นรัฐบาล ตอนนี้พรรคก้าวไกลพลิกล็อกได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ได้มีโอกาสฟอร์มรัฐบาล มันสะท้อนว่า ประชาชนจำนวน 14 ล้านคนต้องการให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปใช่ไหม
แม้จะยังมีเสียงที่ต้องการมากถึง 60-70 เสียงจากรัฐสภาในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็แสดงตัวเหมือนกับเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว พรรคก้าวไกลยังเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เก็บของออกจากทำเนียบรัฐบาล ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายพล.อ.ประยุทธ์ยังจะต้องรักษาการณ์จนกว่าจะได้นายกรัฐนตรีคนใหม่จริงๆ
แม้กกต.จะตั้งกรรมการสืบสวนตามพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส.มาตรา 151 ที่บัญญัติว่า รู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิก ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ซี่งสุดท้ายแล้วคณะกรรมการสืบสวนอาจจะชี้ว่าไม่มีมูลก็ได้ หรือถ้าชี้ว่ามีมูลแล้วไปแจ้งตำรวจแล้วอัยการสั่งฟ้องก็ไปสู้กันในศาลอาญาซึ่งอาจจะใช้เวลานาน
แต่เมื่อกกต.ใช้มาตรา 151 เท่ากับกกต.มีความเชื่อว่า พิธาน่าจะมีปัญหาขาดคุณสมบัติ ดังนั้นแม้จะรับรองส.ส.ไปก่อน ขั้นตอนต่อไปกกต.ก็ต้องยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ากกต.ไม่ฟ้องก็จะแปลกมาก แต่ถึงกกต.ไม่ฟ้องเองก็จะต้องมีส.ส.หรือส.ว.เข้าชื่อกันไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัติที่ต้องห้ามถือหุ้นสื่อตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3)ต่อศาลรัฐธรรมนูญอยู่ดี ซึ่งกระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นาน
ส่วนที่มีการเปิดคลิปเสียงการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีที่รายการ3 มิตินำมาเผยแพร่และไม่ตรงกับรายงานการประชุมนั้นเป็นปัญหาของกรรมการบริษัทจะต้องชี้แจงแต่ไม่ได้ชี้ว่าบริษัทยุติดำเนินการไปแล้ว
แต่ที่น่าสนใจก็คือว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลพูดว่าหากพรรคของเขาได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้ว “ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม” นั้นเป็นอย่างไร ความคิดนี้คล้ายกับต้องการจะบอกว่า ประเทศจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เคยเป็นอยู่ไปแบบพลิกฝ่ามือ ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ประเทศไทยที่ผ่านมานั้นมีแต่สิ่งที่ไม่ดีที่จะต้องแก้ไข และเมื่อเราไปดูนโยบายของพรรคก้าวไกลเราก็จะเห็นว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
แน่นอนสิ่งที่พรรคก้าวไกลและสมาชิกของพรรคแสดงออกมาอย่างชัดเจนในขณะที่เป็นพรรคฝ่ายค้านคือ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งพิธา ไปตอบคำถามในรายการหนึ่งที่มีคนถามชงเพื่อให้แก้ข้อหาเรื่องล้มเจ้า ว่าพวกเขาไม่ได้ล้มเจ้าแต่ต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมือง ทั้งที่ความจริงพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอยู่แล้วตั้งแต่พวกคณะราษฎรก่อนการรัฐประหาร 2475
และพรรคก้าวไกลก็แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนในการเป็นแนวร่วมของคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์บนท้องถนน และใช้ตำแหน่งส.ส.ประกันตัวคนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 รวมไปถึงการอภิปรายการใช้งบประมาณของสำนักงานส่วนพระมหากษัตริย์
แม้ว่านโยบายของพรรคก้าวไกลที่เขียนไว้ต่อสาธารณะจะมีแค่การแก้ไขมาตรา 112 แต่จากที่กล่าวมาชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ถามว่าประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอย่างไรถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลสำเร็จ สิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการก็น่าจะใกล้เคียงกับที่กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์อ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า การชุมนุมของพวกเขาเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 และกลุ่มองค์กร เครือข่าย เลิกกระทำการดังกล่าว
และเราพบว่าร่างแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น ทำให้การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์นั้นมีโทษเท่ากับบุคคลธรรมดา ลองคิดดูว่า ทุกวันนี้แม้มาตรา 112 จะมีโทษสูงก็ยังมีการออกมาท้าทายจนถูกดำเนินคดีจำนวนมาก หากความผิดตามมาตรา 112 มีโทษเท่ากับบุคคลธรรมดาจะเป็นอย่างไร
และนี่น่าจะคือ นโยบายทำให้ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอย่างหนึ่งของพรรคก้าวไกล เพราะพวกเขาต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์นั่นเอง
อีกนโยบายที่ทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมของพรรคก้าวไกลคือ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปกระทบต่อรูปแบบของรัฐเป็นการยุบการปกครองส่วนภูมิภาคไปโดยปริยายเปลี่ยนไปเป็นการปกครองในรูปแบบสหพันธรัฐ
ลองคิดดูว่า ทุกวันนี้เรามีการเลือกนายกอบจ.อยู่แล้ว เราได้คนแบบไหนบ้างมาเป็นนายกอบจ. แต่ถ้าเรายกเลิกผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้งของส่วนกลางที่ต้องเรียนรู้งานไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นปลัดอำเภอจนขึ้นมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแบบที่เป็นอยู่ หากต่อไปยุบตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดจากส่วนกลางไป และเปลี่ยนตำแหน่งนายกฯอบจ.มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง เราจะได้ผู้ว่าฯแบบไหนบ้าง
สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมอีกอย่างของพรรคก้าวไกลนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อด้ามขวานของประเทศเมื่อพรรคก้าวไกลมีนโยบายเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกใน 3 จังหวัดภาคใต้ และสอดรับการกับการเคลื่อนไหวของขบวนนักศึกษาแห่งชาติ หรือ Pelajar Kebangsaan Patani หรือ Pelajar Bangsa ได้จัดกิจกรรมเปิดตัวองค์กร พร้อมปาฐากถาพิเศษ เรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี”ซึ่งร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมกับ ผศ.วรวิทย์ บารู รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ ว่าที่ ส.ส.ปัตตานี, นายฮากิม พงติกอ รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม, นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ประธาน The Patani และ นายฮูเซ็น บือแนเป็น ผู้ดำเนินรายการ
ซึ่งพรรคประชาชาติและพรรคเป็นธรรมก็คือ 2ใน 8 พรรคที่พรรคก้าวไกลเชิญให้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล
นอกจากนั้นเดิมบุคคลที่ทางผู้จัดกิจกรรมเชิญมาร่วมงาน ยังมี นายรอมฎอน ปันจอร์ ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งเปิดตัวเตรียมเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ตลอดงานนายรอมฎอนไม่ได้เดินทางมาร่วมแต่อย่างใด
แม้ต่อมา 8 พรรคจะออกมาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว แต่ก็ชัดเจนว่ามันมีเชื้อและสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอยู่ และจะเห็นว่า พวกเขาใช้คำว่า “ปาตานี” สอดคล้องกับพวกที่ต้องการแยกดินแดนไม่ได้ใช้คำว่า “ปัตตานี” ที่เป็นชื่อจังหวัดในภาษาไทย โดย 8 พรรคได้จัดตั้งคณะทำงานย่อยพรรคร่วมรัฐบาล ว่าด้วยสันติภาพชายแดนใต้/ปาตานีขึ้นมา
นอกจากนั้นคณะก้าวหน้าซึ่งทราบกันว่า เป็นลมใต้ปีกของพรรคก้าวไกลที่นำโดยธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ให้เงินสนับสนุนการจัดทำบอร์ดเกม “Patani Colonial Territory” ซึ่งเป็นบอร์ดเกมบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยได้ระบุแผนที่ของอาณาจักรปัตตานีโดยรวม 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาเข้าไปด้วยนอกเหนือจาก 3 จังหวัดที่เป็นเป้าหมายยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เท่ากับขานรับต่อการเคลื่อนไหวของพวกต้องการแบ่งแบกดินแดนที่มี 4 อำเภอในจังหวัดสงขลารวมอยู่ด้วย
ทั้งธนาธรเคยตอบคำถามว่า หากได้บริหารประเทศคนปัตตานีที่เรียกร้องแยกประเทศได้เอกราชเป็นไปได้ไหมที่เขาจะได้สิ่งนี้โดยไม่ต้องทำสงครามโดยธนาธรตอบตอนหนึ่งว่า คงต้องมีการทำประชามติกันถ้าถึงที่สุด แต่ส่วนจะไปถึงวันนั้นได้ มันต้องสร้างความปลอดภัย พื้นที่ทางความปลอดภัย ถ้าพื้นที่มันไม่ปลอดภัยมันก็เท่านั้น มันต้องการันตีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลให้ได้ มันจะไปถึงตรงนั้น ส่วนจะแยกดินแดนเป็นเอกราชหรือไม่เป็นเอกราช อันนี้ผมไม่ใช่คนตัดสินใจแน่ๆ
นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมของพรรคก้าวไกลที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปแบบพลิกฝ่ามือ
ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีหลายคนที่ออกมาเลือกพรรคก้าวไกล เพราะเบื่อหน่ายรัฐบาลประยุทธ์ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนขั้วรัฐบาล คนจำนวนมากออกไปเลือกพรรคก้าวไกลโดยไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลมีจุดมุ่งหมายอย่างไรต่อรูปแบบของรัฐและโครงสร้างของประเทศและต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร
หลายคนกลัวว่าหากครั้งนี้พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอาจทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลจะกลายเป็นพายุใหญ่ที่ยากจะทัดทาน พรรคก้าวไกลอาจจะได้รับการเลือกตั้งมากกว่าเดิม และอาจจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ และการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีเสียงโหวตของ 250 ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ผมคิดว่าอย่างน้อย 4 ปีที่เรายังรับมืออยู่ได้นั้นจะต้องทำให้สังคมตระหนักว่า นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ต้องการทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และจะส่งผลอย่างไรต่อประเทศของเรา
แต่ถ้าสุดท้ายเราไม่สามารถรับมือกับเป้าหมายที่ต้องการทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมของพรรคก้าวไกลได้ เราก็คงต้องยอมรับชะตากรรมนั้นร่วมกัน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan