เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูประเทศหมีขาวรัสเซีย ที่ต้องรับมือกับการโจมตี-ตอบโต้ของนักรบชาวสลาฟด้วยกันเองอย่างกองทัพยูเครน เพื่อให้ “เข้าตากรรมการ” อันได้แก่คุณพ่ออเมริกาและบรรดาชาติยุโรป ที่เพียรพยายามส่งเงิน-ส่งทอง ส่งอาวุธ ไปให้ชาวยูเครนเข่นฆ่ากับชาวรัสเซีย จนกว่าจะไม่เหลือ “ชาวยูเครนสุดท้าย” อีกต่อไป เพราะเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านก็ได้ออกมายืนยันไว้ชัดเจน ว่าการโจมตี-ตอบโต้ของกองทัพยูเครนต่อรัสเซีย ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!! ส่วนผลสรุปจะออกมาในแบบไหน? อย่างไร? อันนี้...คงต้องว่าไปตามคำพูดเก๋ๆ ไก๋ๆ ที่ใครก็ไม่รู้เคยพูดๆ ไว้นานแล้วว่า... “สงครามยังไม่จบ-อย่าเพิ่งนับศพทหาร” อะไรประมาณนั้น!!!
คือไม่ว่าใครจะ “ระเบิดเขื่อน” ใครจะชิงความ “ได้เปรียบ-เสียเปรียบ” กันในสนามรบ ใครจะฆ่าใครไปแล้วเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ฯลฯ มันคงไม่อาจนำมาใช้เป็นตัววัดตัดสินกันได้ง่ายๆ เพราะมันยังต้องสู้กันไปอีกตราบนานเท่านาน แต่ถ้ามองจากอดีตผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์ทางทหารมาเกือบครึ่งชีวิต อย่างท่านนายกรัฐมนตรีฮังการี “นายViktor Orban” ท่านก็พูดเอาไว้น่าคิดสะกิดใจมิใช่น้อย เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่าโดยหลักนิยมทางทหารขั้นพื้นฐาน ย่อมเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าผู้ที่คิดจะโจมตีผู้อื่น ย่อมต้องอาศัยกำลังไม่น้อยกว่าผู้ที่เป็นฝ่ายตั้งรับ ประมาณ 3 ต่อ 1 เป็นอย่างน้อย ดังนั้น...เมื่อมองจากความพยายามของประเทศยูเครน ที่มีจำนวนประชากรเพียงแค่ 20-30 ล้านคน ไม่นับผู้ที่อพยพหลบหนีภัยสงครามไม่รู้กี่ต่อกี่ล้านจนแทบเกลี้ยงประเทศไปแล้วในทุกวันนี้ การ “เอาชนะทางทหาร” ต่อประเทศรัสเซีย ที่มีจำนวนประชากรไม่ต่ำกว่า 146 ล้านคน มันจึงเป็นอะไรที่แทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง เอ่ยถึง เอาเลยก็ว่าได้ มีแต่จะนำไปสู่ความ “เลือดนองท้องช้าง” หรือมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง!!! เรียกว่า...แม้แต่จะมองในแง่ที่ดีที่สุด (Best-case scenario) ของฝ่ายยูเครนก็เถอะ ก็ยังไม่น่าก่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมายใดๆ ในสนามรบ มากกว่าเท่าที่เคยมีการตั้งโต๊ะเจรจาก่อนหน้านั้น...
ด้วยเหตุนี้...ท่านจึงหวังที่จะเห็นแต่ละฝ่าย มุ่งหน้าไปสู่ “การเจรจาสันติภาพ” แทนที่จะควักอะไรต่อมิอะไรมาสาดใส่ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นจรวด รถถัง เครื่องบินรบ ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่จะนำมาซึ่งความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ของแต่ละฝ่ายไปด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือผู้ที่คิดจะส่งเงิน ส่งอาวุธ ไปให้กับ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก อย่างบรรดาชาติตะวันตกผู้ที่พร้อมยอมเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกา เพราะอย่างที่หน่วยงานสถิติของ “Eurostat” เพิ่งออกมาป่าวประกาศไปเมื่อวัน-สองวันนี้ (8 มิ.ย.) นั่นแหละว่า ภายใต้การสนับสนุน ส่งเสริม ให้กองทัพยูเครนไล่เข่น ไล่ฆ่า กับทหารรัสเซียอย่างชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของยุโรปทั้งยุโรป กำลังเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว!!!
คือตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจลดเหลือแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย ระหว่างตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมเป็นต้นมา โดยเฉพาะประเทศเยอรมนี ที่ถือเป็น “เสาหลัก” ของอียูทั้งอียู อัตราการเติบโตลดลงเหลือแค่ 0.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ขณะที่ไอร์แลนด์ลดลงมาถึง 4.6 เปอร์เซ็นต์ ลิทัวเนียลดลง 2.1 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงเนเธอร์แลนด์ กรีซ มอลตา ฯลฯ หรือตลอดไปทั่วทั้งกว่า 20 ประเทศ ยิ่งโดยเฉพาะประเทศ “สุนัขพูเดิลอเมริกา” อย่างผู้ดีอังกฤษด้วยแล้ว ที่ผู้นำประเทศอย่าง “นายฤาษี สุนัข” (Rishi Sunak) เพิ่งเดินทางไปจับมือ ถือแขน กับคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ถึงอเมริกา เพื่อหวังตอกย้ำความหวัง ความทะเยอทะยานของพวก “Anglo-Saxon” ที่คิดจะตั้งตัวเป็น “รัฐบาลโลก” มานานแล้ว แต่ภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศกลับเป็นอะไรที่สูงโด่เด่ หรือสูงที่สุดในหมู่ประเทศยุโรปทั้งหลาย แถมตัวเลขจีดีพีปีนี้ น่าจะโตไม่เกินไปกว่า 0.3 เปอร์เซ็นต์ส่วนปีหน้าสูงสุดไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ถ้าว่ากันตามการคาดคะเนของ “OECD” (The Organization for Economic Co-operation and Development) เมื่อช่วงวันพุธ (7 มิ.ย.) ที่ผ่านมา หรือถึงขนาดที่บริษัทสำรวจและวิจัย “The Charity End Furniture Poverty” ของอังกฤษเอง ต้องออกมาเปิดเผยว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของพวกผู้ดีอังกฤษ ต้องหันไปนอนโซฟาหรือไม่มีเตียงนอนให้ซุกหัวนอน เพราะราคาค่าเช่า ค่าอสังหาริมทรัพย์ พุ่งระเบิดเถิดเทิง จนต้องเอาเงินไปซื้อข้าว ซื้อน้ำมันแทนที่จะเอามาซื้อเตียง ซื้อเฟอร์นิเจอร์ กลายสภาพเป็น “ผู้ดีตีนแดง-ตะแคงตัวนอน” กันไปเป็นแถบๆ...
ต่างไปจากผู้ที่ตัวเองพยายามรุมเหยียบ รุมกระทืบ พยายามยุแยงตะแคงรั่ว ให้ชาวสลาฟในยูเครนฆ่าฟันกับชาวสลาฟในรัสเซียให้ตายโหง-ตายห่าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะถ้าว่ากันตามตัวเลขเศรษฐกิจ ที่ธนาคารกลางรัสเซีย หรือ “Bank of Russia-CBR” โดยผู้ว่าฯ ธนาคาร “นางElvira Nabiullina” ออกมาป่าวประกาศเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (9 มิ.ย.) ว่าแนวโน้มที่เศรษฐกิจรัสเซีย จะหวนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรือภาวะก่อนหน้าที่ถูกยุโรปและอเมริกาแซงชั่นแบบเอาเป็น-เอาตาย จะอุบัติขึ้นมาไม่เกินปีหน้าอยู่แล้วแน่ๆ เพราะตัวเลขเงินเฟ้อจากประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ กำลังลดลงเหลือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ หรือลดลงสู่มาตรฐานปกติ การท่องเที่ยวภายในประเทศสูงสุดเท่าที่เคยมีมา การก่อสร้างขยายตัวโดยเฉพาะในภูมิภาคไซบีเรีย รัสเซียกลาง และยูเครน ฯลฯ ตัวเลขการค้ากับประเทศพันธมิตรที่ “ไม่มีขีดจำกัด” อย่างคุณพี่จีน หรือประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ที่สามารถนำทรัพยากรต่างๆ จากรัสเซียมาเติมเต็มอุปสงค์ความต้องการของผู้คนภายในประเทศได้อย่างเต็มสูบ-เต็มด้าม พุ่งขึ้นชนิดระเบิดเถิดเทิง หรือเพิ่มขึ้นไปถึง 40.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน (ม.ค.-พ.ค.) ของปีที่ผ่านมา หรือเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น การค้าๆ-ขายๆ ระหว่าง 2 ประเทศ มีมูลค่าปาเข้าไปถึง 93,800 ล้านดอลลาร์...
บรรดาบริษัทลงทุนระหว่างประเทศ ต่างเริ่มคิดทยอยกลับเข้ามาลงทุนในรัสเซียกันบ้างแล้ว เช่นบริษัทดังๆ อย่าง “Adidas” ที่เตรียมกลับไปเปิดกิจการช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายนปีนี้ ร่วมกับบรรดาบริษัทเครือข่ายในเลบานอน ตุรกี ยูเออี ฯลฯ อันจะส่งผลให้ผู้ที่ถูกรุมเหยียบ รุมกระทืบ อย่างรัสเซีย กลับมีน้ำ-มีนวล ไม่ได้บอบ-ไม่ได้ช้ำ อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับผู้ที่คิดรุมเหยียบ รุมกระทืบผู้อื่น ไม่ว่าชาติพันธมิตรยุโรปหรือกระทั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ออกอาการใกล้ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ยิ่งเข้าไปทุกที ยิ่งไปกว่านั้น...ยิ่งต้อง “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างตามลำพัง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เพราะบรรดาชาติต่างๆ แทบจะทั่วทั้งโลก หรืออย่างน้อยก็กว่า 110 ประเทศ จาก 140 ประเทศ ที่ไม่คิดเอาด้วย ไม่เห็นควรด้วยกับการ “แซงชั่นรัสเซีย” ดังที่กล่าวไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา...
และในช่วงวัน-สองวันนี้ หรือนับแต่วันที่ 16 มิถุนายนเป็นต้นไป บรรดาผู้นำชาติแอฟริกาถึง 7 ประเทศ อันประกอบไปด้วยแอฟริกาใต้-โคโมรอส-คองโก-อูกานดา-เซเนกัล-แซมเบีย-อียิปต์ ก็ได้เตรียมกำหนดการที่จะแห่เดินทางไปเยือนทั้งประเทศรัสเซียและยูเครน เพื่อเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว และวิงวอน ให้ทั้ง 2 ชาติ 2 ประเทศ เลิกคิดที่จะใช้ “เลือด-ล้าง-เลือด” เลิกคิดที่จะหันมาเข่นฆ่ากันเอง เพราะไม่เพียงแต่จะไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากต้อง “เลือดนองท้องช้าง” อย่างที่นายกรัฐมนตรีฮังการีท่านว่าๆ เอาไว้แล้ว ยังแถมส่งผลให้ “โลกทั้งโลก” พลอยต้อง “ซวยไปด้วย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ อันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาชาติในแอฟริกาเท่านั้น ที่เห็นไปในแนวนี้ แต่ยังรวมถึงบรรดาชาติในเอเชีย ที่สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ดังกล่าว ในเวทีประชุม “Shangri-La Dialogue” ที่สิงคโปร์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อันถือเป็นเวทีที่สามารถสะท้อนความคิดความรู้สึกของชาติในเอเชียค่อนข้างชัดเจนที่สุด แม้เป็นเวทีที่เริ่มต้นโดยชาติตะวันตกมาก่อนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย หรือสิงคโปร์ ต่างออกมาขานรับต่อแนวทาง “สันติภาพ” ไม่ใช่ “สงคราม” หรือ “การเผชิญหน้า” อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ชนิดไม่พึงต้องสงสัยใดๆ อีกต่อไป...
ด้วยเหตุนี้...ภายใต้เจตนารมณ์ ความปรารถนาและต้องการที่จะเห็น “สันติภาพ” มากไปกว่า “สงครามและการเผชิญหน้า” ของบรรดาชาติต่างๆ ทั้งหลายนี่เอง ที่จะค่อยๆ กลายเป็นแรงกดดัน เป็น “หมากล้อม” ให้กับบรรดาชาติยุโรป-อเมริกา ที่ต่าง “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ย่อมมีแต่ต้องลด-ละ-เลิก ต้องคลายความกระเหี้ยนกระหือรือในอันที่จะออกแรงยุ แรงเชียร์ ให้คู่ขัดแย้งในสมรภูมิรัสเซีย-ยูเครน ต้องรบราฆ่าฟันไปจนไม่หลงเหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” การปิดฉาก ปิดผ้าม่านกั้งของสงครามแห่งการโจมตี-ตอบโต้ ระหว่างทั้งสองประเทศ ด้วยการหันไป “นั่งโต๊ะเจรจา” ย่อมน่าจะมีความเป็นไปได้ในอีกไม่ช้า-ไม่นาน นับจากนี้...