“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ศึกษา “คานธี” ทั้งจาก “วิถีชีวิต” และ“ อมตวจนะ” ในฐานะนักคิด-นักต่อสู้ที่โลกยกย่อง..!
“โมหันทาส กรัมจันท์ คานธี” เป็นชื่อเต็ม นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “คานธี” มหาบุรุษผู้เป็นทั้ง “ผู้นำ” และ “นักการเมือง” เกิดวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.1869 ในแคว้นคุชราต ประเทศอินเดีย
“คานธี” เป็นที่ยอมรับทั้งทาง “ความคิด” และ “วิถีชีวิต” การต่อสู้ด้วย “สันติวิธี” เพื่ออิสรภาพจากชาตินักล่าเมืองขึ้น “อังกฤษ” โดย “คานธี” ทุ่มเทชีวิตจวบจนสุดสิ้น พิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่า “คานธี”มุ่ งมั่นทำเพื่อชาติกับประชาชนอินเดียมาตลอด
1915 “คานธี”เดินทางจากอังกฤษกลับมายังบอมเบย์ (ปัจจุบันคือ มุมไบ) เขาได้ตัดสินใจละทิ้งการแต่งกายแบบตะวันตก หันมาแต่งกายดั้งเดิมแบบแคว้นคุชราต จากนั้น “คานธี” ออกเดินทางไปพบ “รพินทรนาถ ฐากุร” มหากวีแห่งอินเดีย ซึ่งได้ขนานนาม “คานธี” ว่า “มหาตมา” แปลว่า“ผู้มีจิตใจสูงส่ง”
1916 “คานธี” ก่อตั้งกลุ่มเรียกร้อง “สิทธิเสรีภาพ” ให้กับประชาชนอินเดีย หวังปลดแอกจากการถูกกดขี่ข่มเหงจากอังกฤษ
1919 อังกฤษได้ใช้ “กฎหมายโรว์แลตต์”! (กำหนดสำหรับการกักขังเชิงป้องกัน โดยไม่มีการพิจารณาคดีฯ) 30 มีนาคม “คานธี” ได้ขอให้ชาวอินเดีย “หยุดงาน” ประท้วง มีประชาชนนับล้านๆ คน ร่วมหยุดงานอย่างพร้อมเพรียง สั่นสะเทือนอำนาจรัฐบาลอังกฤษอย่างรุนแรง เป็นข้ออ้างให้อังกฤษจับตัว “คานธี” จนเกิดเหตุจลาจลเกือบทั่วประเทศ
13 เมษายน 1919 “คานธี” ถูกปล่อยตัว และเสียใจกับเหตุการณ์บานปลายนี้ จึงประกาศอดอาหาร 3 วัน!
โดยวันนั้นเป็น“วันนักขัตฤกษ์” ของอินเดีย ประชาชนจึงไปรวมตัวสังสรรค์กันที่สวนสาธารณะซัลลียันวาลา เมืองอมฤตสระ
“นายพล เรจินัลด์ ดายเออร์” ผบก.ทหารอังกฤษ ซึ่งมีความไม่พอใจชาวอินเดียอยู่แล้ว ได้สั่งให้กองทัพยิงปืนใส่ฝูงชน ในซัลลียันวาลา จนมีผู้เสียชีวิตราว 1,500 คน บาดเจ็บ 3,000 คน ทำให้อังกฤษเสื่อมเสียชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น
1922 เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง “คานธี” ถูกจับกุมและโดนจำคุก 6 ปี แต่ถูกปล่อยตัวในปี 1924 ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ “คานธี” ได้หันไปแก้ปัญหาในประเทศ เช่น ฟื้นฟูเศรษฐกิจชนบท ปัญหาชนชั้นวรรณะ ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่าง “ฮินดู” กับ “มุสลิม” แก้ปัญหาความไม่เสมอภาคของสตรี รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการกดขี่จากต่างประเทศ
1930 “คานธี” กลับมาประท้วงกฎหมายอังกฤษ ที่ห้ามคนอินเดีย “ทำเกลือ” กินเอง ซึ่งเป็นการห้าม “คนอินเดีย” ใช้ทรัพยากรของอินเดีย
12 มีนาคม 1930 “คานธี” ประกาศเดินทางไปชายทะเลในตำบลฑัณฑี มีประชาชนมากมายร่วมเดินเท้าระยะทาง 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางนาน 24 วัน
“คานธี” กับผู้คนนับแสน ได้ร่วมกัน “ทำเกลือกินเอง” อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่อังกฤษห้ามไว้!
4 พฤษภาคม 1930 ทหารอังกฤษจับกุม “คานธี” กับประชาชนนับแสนคน เป็นผลให้แรงงานจำนวนมากหายไป ก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทางการอินเดียจึงต้องทยอยปล่อยตัวประชาชนออกมาเรื่อยๆ รวมถึง “คานธี” ในปี 1931
1931 “คานธี”ถู กเชิญให้ไปร่วมประชุมกับรัฐบาลอังกฤษ โดยมี “นายกฯ อังกฤษ” เป็นประธานการประชุม
ทว่า.. เมื่อ “คานธี” กลับถึงอินเดีย ก็ถูกจับและถูกปล่อยตัวอีก จากนั้น “คานธี” ใช้เวลาไปพัฒนาชนบทของอินเดียอีกครั้ง
1939 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 “คานธี” กลับสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง มีการเดินขบวนรณรงค์ต่อเนื่อง..
1942 “คานธี”ถูกจับกุม ระหว่างอยู่ในคุก “กัสตูรบา” ภรรยา “คานธี” ได้เสียชีวิตลงในปี 1944 ต่อมา “คานธี” ก็ถูกปล่อยตัว
1945 มีการเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษ “นายกฯ อังกฤษคนใหม่” ได้ประกาศให้อินเดียปกครองตนเอง “อิสรภาพ” ของอินเดียจึงอยู่แค่เอื้อม ทว่า.. การเฟ้นหา “รัฐบาลอินเดีย”เข้ามาปกครองมิใช่เรื่องง่าย เพราะ “พรรคคองเกรส” (นับถือฮินดู) กับ “สันนิบาตมุสลิม” ตกลงกันไม่ได้ ทำให้อิสรภาพอินเดียต้องล่าช้าออกไปอีก
1946 เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก ระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมในประเทศอังกฤษ จนเกิดเหตุนองเลือดในอินเดียทุกหนแห่ง ทำให้ “คานธี” เสียใจอย่างยิ่ง จากการทะเลาะกันเองกับอิสรภาพแค่เอื้อม
แม้ “คานธี” จะอยู่ในวัย 77 ปีแล้ว เขาก็ ตัดสินใจเดินเท้าไปตามภูมิภาคต่างๆ ของอินเดีย เพื่อขอร้องให้ชาวอินเดียหันหน้ามาสามัคคีกัน จนประชาชนทั้งสองฝ่ายเลิกทะเลาะเบาะแว้ง ความสงบจึงกลับคืนสู่อินเดีย..
1947 พฤษภาคม “พรรคคองเกรส” กับ“สันนิบาตมุสลิม” ได้เจรจาและสรุปหลังอินเดียได้เอกราช โดย “อังกฤษ” ได้แยกแผ่นดินอินเดียเป็น 2 ส่วน พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็น “คนฮินดู” เป็นประเทศ “อินเดีย” มี “พรรคคองเกรส” ดูแล! ส่วนพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่เป็น“ชาวมุสลิม” ให้เป็นประเทศ “ปากีสถาน” มอบให้ “สันนิบาตมุสลิม” บริหารจัดการ!
15 สิงหาคม 1947 อินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษเต็มร้อย ทว่า.. ผลจากสันดานนักล่าอาณานิคม “อังกฤษ” ที่ทำให้ดินแดนอินเดียแตกออกเป็น 2 ประเทศ ได้ก่อเกิดความขัดแย้งต่อสู้กันต่อเนื่องมาตลอด
13 มกราคม 194 8 “คานธี” ผู้เป็นชาวฮินดู แต่ต้องการสมานฉันท์กับชาวมุสลิม จึงต้องการเดินทางไปปากีสถาน แต่ “สันนิบาตมุสลิม” ห่วงว่าจะเกิดอันตรายกับ “คานธี” จึงห้าม “คานธี” เข้าปากีสถาน ทำให้ “คานธี” ประกาศอดอาหารอีกครั้ง เรียกร้องให้ “ชาวฮินดู” กับ “ชาวมุสลิม” สมานฉันท์กัน!
18 มกราคม 1948 องค์กรประชาชนในนิวเดลี ให้คำมั่นว่า จะพิทักษ์รักษาชีวิต ทรัพย์สิน และศาสนาของชาวมุสลิมอย่างเต็มที่ “คานธี” จึงกลับมากินอาหาร
30 มกราคม 1948 ขณะที่ “คานธี” กำลังสวดมนต์ตามกิจวัตรอยู่กลางสนามหญ้า และกล่าวคำว่า “เห ราม” (แปลว่า“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า”)
“คานธี”ได้ถูก “นาถูราม โคทเส” ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนา และไม่ต้องการให้ “ชาวฮินดู” สมานฉันท์กับ “ชาวมุสลิม” ใช้ปืนบุกเข้ายิงใส่ “คานธี” 3 นัด จน “มหาตมา คานธี” สิ้นใจในวัย 78 ปี!
“คานธี”เป็นที่ยอมรับอย่างสูงอย่างต่อเนื่อง จาก “ชาวฮินดู ชาวอินเดีย และชาวโลก” ทุกระดับหลากชนชั้น โดยเฉพาะ “ปัญญาชน”
ผมนำประวัติ “มหาตมา คานธี” โดยสังเขป มาให้รู้กันพอทำเนา จากนี้ขอยกวลีแห่ง “อมตวจนะ” ของบุคคลสำคัญของโลกท่านนี้ มาให้อ่านเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดเป็นจริง..
“มันไม่ฉลาดเลยที่จะเชื่อมั่นในความเฉลียวฉลาดของตนเองมากเกินไป อย่าลืมว่าคนที่แข็งแรงที่สุด มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ และคนที่ฉลาดที่สุด ก็อาจจะทำผิดพลาดได้”
ใช่เลย! “ร่างกายมนุษย์ทุกคน” ย่อมมี “ห้วง” อ่อนแอ แม้จะเป็น “มนุษย์ฉลาดที่สุด” ก็ต้องมี “จุด” ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์เต็มร้อยเป็นธรรมดา
หนึ่งใน “คำคม” ที่เป็น “อมตวจนะคานธี” คือ “จงใช้ชีวิตเหมือนคุณกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ แต่จงเรียนรู้เหมือนคุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล” อืม..ทุกชีวิตต้องสิ้นสุดลงแน่.. ทว่าการเรียนรู้ต้องไม่สุดสิ้น!
“คานธี” จึงย้ำว่า.. “ความแข็งแกร่งไม่ได้มาจากความสามารถทางร่างกาย แต่มันมาจากจิตใจที่ไม่ยอมแพ้”
ใช่เลย! “แฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์” จาก “พรรคเดโมแครต” เป็น “นักการเมือง” ที่แม้จะเป็น “โปลิโอ” ขาทั้ง 2 ข้างพิการ ปี 1932 “รูสเวลท์” ในวัย 39 ปี ได้รับเลือกให้เป็น“ประธานาธิบดีมะกัน” ด้วย “จิตใจ” กับ “สมอง” อันชาญฉลาด ผสานกับมี “ทีมงาน” ที่แข็งแกร่ง
แม้รัฐบาล “รูสเวลท์” ต้องพบวิกฤตต่างๆ และเผชิญกับ“สงครามโลกครั้งที่ 2” ทว่า “ประธานาธิบดีมะกันคนนี้” กลับสร้างผลงานให้ชาติมะกันด้วยดีมาตลอด “เขา” มีส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการทำให้ “กลุ่มชาติพันธมิตร” เผด็จศึก “กลุ่มชาติเผด็จการ” ใน “สงครามโลกครั้งที่ 2”!
“คานธี” มอง “มนุษย์” ทะลุถึงจิตใจว่า “ผู้ที่อ่อนแอไม่เคยรู้จักให้อภัย การให้อภัยเป็นคุณลักษณะของผู้เข้มแข็ง”
“มนุษย์สามานย์” ที่แย่ง “อำนาจ” ด้วยหวังแค่เพียงกอบโกย “เงินทอง” พึงสำเหนียกวรรคทองของ “คานธี” ที่บอกถึงสัจธรรมว่า “ทรัพยากรในโลก มีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนละโมบเพียงคนเดียว”
“คานธี” กลับมุมมองต่างไป.. “ความมั่งคั่งที่แท้จริง คือการมีสุขภาพที่ดี มิใช่การมั่งมีเงินทอง”!
อืม.. “คำคมความคิด” บทสรุป “คานธี” คือ“ ความจริง” ที่เป็น “ความจริง” โดย “มนุษย์ทุกคน” รู้อยู่แล้วว่า “สุขภาพดีอยู่คู่ตัว” ประเสริฐกว่า “เงินทอง”.. ตายก็เอาไปไม่ได้ว่ะ”!?
ขอให้ท่านผู้อ่าน ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทุกคนครับ!