หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
แม้พรรคก้าวไกลจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยประกาศจะสนับสนุนการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่งและปฏิเสธ ”ดีลลับ” ต่างๆ ที่ร่ำลือกัน ก็เป็นเพียงการเล่นบทเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น เพราะแกนนำพรรคเพื่อไทยรู้อยู่แล้วว่ายากที่พรรคก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
มีโอกาสสูงมากที่แกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะเปลี่ยนไปอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย และจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลได้ง่ายกว่า เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเงื่อนไขมากมายเหมือนกับพรรคก้าวไกล สามารถดึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคพลังประชารัฐมาจับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วส.ว.ไม่ได้มีเงื่อนไขเหมือนกับพรรคก้าวไกลที่ถูกมองว่ามีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยยันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตอนนี้จึงเชื่อว่าโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้นมีน้อยกว่าการเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้าน
มีคนอธิบายว่า การที่พิธาออกตัวแรงเรียกหน่วยงานต่างๆ ไปพบ หรือเข้าไปพบองค์กรต่างๆ แสดงตัวเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้วเหมือนกับระบบประธานาธิบดีที่หลังเขาชนะเลือกตั้งก็เตรียมตัวเพื่อเข้ารับตำแหน่ง เลยต้องเตรียมพร้อมเพื่อเข้าไปทำงานทันที
แต่ระบบนายกรัฐมนตรีของไทยไม่ใช่แม้ชนะเลือกตั้งได้ที่นั่งอันดับ1 แล้วได้เป็นนายกรัฐมนตรีทันที แต่ต้องสามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อชนะโหวตในสภาก่อน เว้นแต่ว่า พรรคก้าวไกลชนะถล่มทลายได้เสียงข้างมากในสภา แต่นี่ไม่ใช่เพราะได้เสียงมาแค่ 151 ไม่ถึง 1 ใน 3 ด้วยซ้ำไป
เราเพิ่งเห็นครั้งแรกที่พรรคที่ชนะเลือกตั้งทำแบบนี้ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีไหม เพราะตอนนี้ยังไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะได้เสียง 376 เสียง แม้จะใช้คนใกล้ชิดระดมโทรไปกดดันส.ว.เป็นรายบุคคล เพราะตรวจสอบแล้วมีส.ว.ที่พร้อมจะยกมือให้ไม่กี่คน ไม่ถึง 20 คนตามที่เป็นข่าวเลย และส.ว.หลายคนเมื่อเห็นนโยบายของพรรคก้าวไกลแล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศมากกว่าผลดี หากเขาเป็นส่วนหนึ่งของส.ว.ที่ยกมือให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จก็จะเป็นตราบาปติดตัวพวกเขาว่ามีส่วนที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศด้วย
ตอนนี้ส.ว.หลายคนยังไม่คิดว่า พิธาจะได้เข้ามาโหวตเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในสภาด้วยซ้ำไป เพราะเชื่อว่าจะไม่ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญจากการถือครองหุ้นสื่อไอทีวี
แต่มองอีกด้านหนึ่งพิธาทำเหมือนตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วแบบนี้เพื่อสร้างกระแสสังคมกดดันว่า ตัวเองต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากไม่ได้ไม่ว่าจะตกม้าตายด้วยหุ้นไอทีวีหรือส.ว.ไม่โหวตให้ก็จะมีความวุ่นวายตามมา เพราะด้อมส้มคงจะไม่ยอมแน่ และถือเป็นเรื่องแปลกมากที่ได้เสียงแค่นี้แต่มีสื่อบางคนบอกว่าเป็นปรากฎการณ์บ้างหรือก้าวไกลชนะถล่มทลายบ้าง ทั้งที่ชนะอันดับ 2 แค่10 เสียงและห่างไกลจากเสียงกึ่งหนึ่งเป็นร้อย
จริงๆ แล้วผมก็อยากจะให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จนะครับ เพราะเชื่อว่านโยบายสุดโต่งหลายเรื่องที่จะเปลี่ยนประเทศไทยไปให้ไม่เหมือนเดิมตามสโลแกนของพรรคนั้นไม่สามารถทำได้จริง ไม่ว่าการที่จะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อันนี้แม้จะไม่ได้ประกาศเป็นนโยบายออกมามีเพียงการแก้ไขมาตรา 112 แต่ก็รู้กันว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายไปถึงตรงนั้น การปฏิรูปกองทัพที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือนโยบายรัฐสวัสดิการที่จะต้องรีดภาษีอย่างหนัก และหากได้เป็นรัฐบาล รัฐบาลของพรรคก้าวไกลก็จะไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน เพราะไม่สามารถทำอย่างที่พูดและหาเสียงเอาไว้ได้
มีคนจำนวนมากเลยที่ออกไปเลือกพรรคก้าวไกลโดยไม่รู้ประวัติคนที่ตัวเองเลือก แต่นั่นไม่เท่ากับคนจำนวนมากไม่รู้เลยว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายอะไรบ้าง คิดแต่เพียงว่า เบื่อรัฐบาลลุง และถูกใจกับคำหาเสียงว่า มีลุงไม่มีเราของพรรคก้าวไกลและอยากให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ อยากให้ประเทศออกไปจากรัฐบาลลุงเร็วๆเพราะเบื่อหน่ายที่ปกครองประเทศมาเกือบ 9 ปี แต่เมื่อได้เห็นแนวนโยบายของพรรคและความคิดของว่าที่รัฐมนตรีคลังหัดขับแล้วก็เกิดความหวั่นไหวว่าจะนำพาประเทศไทยไปรอดไหม
ตอนนี้เราก็เห็นแล้วว่า บุคคลที่พรรคก้าวไกลประกาศออกมาเพื่อจัดให้รับตำแหน่งในรัฐบาลนั้นต่างไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากสังคม เพราะส่วนใหญ่ไม่เคยมีประวัติการทำงานมาก่อนหรือเคยผ่านงานมาน้อยมาก จนหลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าประเทศไทยกำลังเป็นห้องทดลองงานของนักบริหารมือใหม่ที่เพิ่งออกมาจากห้องเรียน
มีเสียงบอกว่าตอนที่พวกคณะราษฎรทำรัฐประหารชิงสุกก่อนห่ามที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 เตรียมจะมอบประชาธิปไตยให้ประชาชนอยู่แล้วก็ล้วนแต่มีอายุไม่มาก แต่ลองไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังพวกเขาได้รับอำนาจดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย สุดท้ายประเทศไทยระบอบประชาธิปไตยต้องรีเซ็ทตัวเองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประเทศจึงสามารถตั้งมั่นอยู่ได้
มีคนบอกว่าหากพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลในครั้งนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคก้าวไกลจะได้รับการเลือกตั้งมากกว่าครั้งนี้ผมก็คิดว่าอาจจะจริง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วจะสร้างความพอใจให้กับประชาชนมากแค่ไหน หากรัฐบาลเพื่อไทยทำได้ดี ไม่ซ้ำรอยกับรอบก่อนๆ ที่เมื่อมีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลจนถูกประชาชนออกมาขับไล่และนำไปสู่การรัฐประหารทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่วงจรอุบาทว์
และเชื่อว่าในอนาคตการเมืองไทยจะพัฒนาไปเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย โดยพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าฝ่ายขวา ในขณะที่พรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคเสรีนิยมสุดโต่งไปทางฝ่ายซ้ายตกขอบ พรรคอื่นจะกลายเป็นเพียงพรรคตัวประกอบซึ่งรวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
มีบางคนเชื่อว่า ความเป็นพรรคที่มีอายุมายาวนานของพรรคประชาธิปัตย์อาจจะกลับมาได้ในอนาคต เพราะพรรคประชาธิปัตย์เคยพ่ายแพ้แล้วกลับมาชนะได้ในหลายหน แต่ผมมองว่า ครั้งนี้จะไม่เหมือนในอดีตแล้ว เพราะตอนนี้เราเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีมวลชนที่ภักดีต่อพรรคแบบในอดีตแล้ว คนภาคใต้ไม่ใช่ของตายสำหรับประชาธิปัตย์แล้ว และยากจะฟื้นมวลชนที่ภักดีกลับมาอีก แม้สุดท้ายแล้วพรรคการเมืองอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคเฉพาะกิจจะล้มหายไปแต่พรรคประชาธิปัตย์ยังอยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาครองใจประชาชนได้อีกอย่างน้อยก็ไม่มีทางกลับมาในระยะอันใกล้
เราจะเห็นได้ว่าความกลัวพรรคก้าวไกลที่จะมาเปลี่ยนประเทศไทยไปให้ไม่เหมือนเดิม ความกลัวต่อแนวคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของคนไทยส่วนใหญ่ ความกลัวพรรคก้าวไกลที่จะพาประเทศไทยให้เป็นปรปักษ์กับประเทศเพื่อนบ้าน หรือความกลัวว่าพรรคก้าวไกลจะพาประเทศไทยไปสุ่มเสี่ยงเลือกข้างในภูมิรัฐศาสตร์โลก ทำให้มวลชนฝั่งอนุรักษนิยมกลัวระบอบทักษิณน้อยลงเพราะกลัวพรรคก้าวไกลมากกว่า ดังนั้นในอนาคตพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจะกลายเป็นคู่ต่อสู้หลักทางการเมืองอย่างน้อยก็อีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า หรือไม่อาจเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานหากทั้งสองพรรคสามารถตั้งมั่นเป็นสถาบันได้
ต้องยอมรับว่าพรรคก้าวไกลกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่จะท้าทายอนาคตของสังคมไทยไปอีกนาน แม้ว่าวันนี้พวกเขาเพียงแต่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 อาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่สายลมที่ก่อตัวขึ้นก็บ่งบอกว่าอนาคตเราจะต้องรับมือกับความท้าทายนี้ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าหากว่าครั้งหน้าพรรคของพวกเขาสามารถครองเสียงข้างมากได้อย่างเบ็ดเสร็จ เราก็ยากที่ขัดขืนกับสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงที่จะรุนแรงขึ้นตามมา แต่ก่อนที่สายลมจะพัดพาทุกอย่างให้พังทลายลงอย่างน้อยก็ต้องหาทางป้องกันเอาไว้จนกว่าสุดกำลังที่จะรับมือ
มีการยกภาษิตขึ้นมาว่า เมื่อพายุพัดมา บางคนสร้างกังหัน บางคนสร้างกำแพง คนที่สร้างกังหันก็อาจจะลู่ไปตามลมเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง แต่คนที่สร้างกำแพงก็อาจป้องกันบ้านเรือนไม่ให้พังทลายลงมาได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan