"โสภณ องค์การณ์"
มันบ่แน่ดอกนาย...คนรุ่นเก่าแฟนเพลงลูกทุ่งคงจำเพลงนี้ได้ “คนชื่อมียากจนเหลือหลาย คนชื่อบุญหลายตายไปเมื่อวานนี้...” อะไรๆ ไม่แน่นอน
คงเหมือนความพยายามของพรรคการเมืองแย่งชิงกันจัดตั้งรัฐบาล ขอตำแหน่งประธานสภา ก่อนชิงเก้าอี้นายกฯ ทำกันก่อน กกต. รับรองผลเลือกตั้ง
“ไม่เห็นน้ำอย่าเพิ่งตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอกอย่าเพิ่งโก่งหน้าไม้”
เป็นคำเปรียบเปรยได้ยินมาตั้งแต่คนรุ่นเก่า คติสอนใจ ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่ได้มีบทเรียนในโรงเรียนอยู่หรือไม่ ยุคคนรุ่นใหม่ต้องไปดูกันในสื่อโซเชียล ไม่ต้องคิดมาก
สภาวะที่เป็นอยู่ทำให้ชาวบ้านเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ ถ้าประสานไม่ลงตัว ย่อมแตกหักกันได้ ต่อให้มี MOU หรือข้อตกลง คล้องแขนกันอย่างไรก็ตาม ทุกพรรคมีต้นทุน ต้องทำตามที่ประกาศ โดยเฉพาะพรรคคนรุ่นใหม่
กลุ่มด้อมส้มเป็นเด็กเจี๊ยว คนรุ่นใหม่ อยากได้อะไร ต้องให้ได้ดังใจ ไม่งั้นจะมีคำขู่ ไม่มีนั่น ไม่มีกู อะไรทำนองนั้น “คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง” นั่นเลย
หลัง MOU คงนึกว่าทุกอย่างราบรื่น ฝ่ายพรรคคนรุ่นใหม่ด้อมส้มต้องการเป็นนายกฯ มี 151 เสียง และอยากได้ตำแหน่งประธานสภาด้วย จะได้คุมเกมทุกอย่าง
ไม่ต้องคิดว่า 151 เสียงนั้นเป็นเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ พรรคอื่นใน MOU รวมกันแล้วยังมากกว่า ดังนั้นไม่ควรแปลกใจที่พรรคนายห้างดูไบต้องการเก้าอี้ประธานสภา
ต่างกันแค่ 10 เสียง จะเอาทุกอย่างไปไม่ได้ ยิ่งพรรคคนรุ่นใหม่มีคนไม่มีสิทธิ 3 คนกำกับอยู่เบื้องหลัง ตั้งเงื่อนไขนั่นนี่โน่น แต่อย่านึกว่าจะได้ดังใจ
บอกแล้วว่าด่านสำคัญ ถ้าผ่าน กกต. ไปได้ คือพรรคนายห้างดูไบ แยกเขี้ยวโง้งอยู่ MOU ไม่มีความหมาย เห็นบทคัดง้างกันระหว่าง “เสี่ยปุ่น” และ “หมอชลน่าน” แล้ว ต้องบอกว่าเป็นบทเนียน ชวนให้ MOU ล่มเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่ถึงพวกขาใหญ่นะ
เห็นอย่างนี้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ พรรคคนรุ่นใหม่จะต้องไปกินแห้ว ไม่ได้ทั้งประธานสภา และนายกฯ จากนี้ไปกว่าจะเปิดสภาได้ ก็ร่วม 2 เดือน อาการ “เซ็ง” ย่อมเกิดได้ การรอคอยยาวนานอาจทำให้มีคลื่นแทรก นายห้างดูไบรอส้มหล่น
ดูแล้วยากมาก ยิ่งกระแสคนรุ่นใหม่อีก 2 เดือนจะซาเซ็ง แรงกดดันจะแผ่ว คนเริ่มเบื่อ ยิ่งต้องนึกว่าจะต้องได้เสียงจาก สว. อย่างน้อยควรจะเป็น 70 เสียง ก็ยิ่งเสียว
ไม่มีเหตุผลอันใดที่ สว. จะผ่านให้หัวหน้าพรรค 30 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้นำประเทศ เพราะไม่ใช่เสียงข้างมาก 251 เสียง ขาดไปตั้ง 100 ต้องพึ่งพรรคนายห้างดูไบ
ทั้งต้องเป็นภาระของพรรคคนรุ่นใหม่ที่ต้องไปหาเสียงจาก สว. แบบต้องปูผ้าขาวก้มกราบเพื่อบรรลุเป้า ก็ต้องยอม เพื่อแลกกับการได้เก้าอี้นายกฯ
แต่ยังมีกลุ่มมองโลกสวย เชื่อว่าการใช้เสียงเว้าวอนของลูกหลาน สว. ไปออดอ้อนขอคะแนนเสียงให้พรรคคนรุ่นใหม่ เพื่อให้บ้านเมืองก้าวต่อไป เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย ด้วยคำหรูว่าเป็นชัยชนะของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” เหนือ “อนุรักษ์นิยม”
ก็ดูกันไปว่าผลประโยชน์จะลงตัวกันอย่างไร ช่วงนี้ต้องมองให้เห็นโลกสวย
แต่ยังตะหงิดๆ อยู่กับคำว่า “ผลประโยชน์บนเดิมพัน” นายห้างดูไบจะต้องได้รับประกันว่าจะได้กลับบ้าน ถ้าไม่ต้องเอาเก้าอี้ประธานสภาและเก้าอี้นายกฯ
แต่ MOU ไม่ใช่สัญญาตายแทนกันได้ ถึงอย่างไรพรรคนายห้างดูไบไม่น่าจะยอมให้เก้าอี้ประธานสภาเป็นของพรรคที่คุมไม่ได้ ถ้าจะโหวตแข่งกันในสภา มีโอกาสที่พรรคอื่นๆ จะโหวตให้นายห้างดูไบ ด้วยเหตุที่พรรคคนรุ่นใหม่สร้างเงื่อนไขเยอะ
MOU ที่ประกาศ ได้ละเว้นคำมั่นหลายประการที่สุดโต่ง เพราะพรรคคนรุ่นใหม่ต้องการผ่านฉากความสมานฉันท์วัน MOU ให้ได้ แม้หลังจากจะต่อรองกันหนัก
หัวหน้าพรรคคนรุ่นใหม่ “ว่าที่นายกฯ” ตามที่ไปเดินสายพบปะองค์กรต่างๆ ด้วยความมาดมั่นเกินร้อย ดูแล้วจะเป็นเหมือน “มะม่วงจำบ่ม” หรือ “มะม่วงบ่มแก๊ส”
แบบนี้ไม่ได้สุกงอมตามธรรมชาติ ความนิยมไม่ได้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ที่จะทำให้เบ่ง วางก้ามได้ วุฒิภาวะ ประสบการณ์พอได้ แต่ยังไม่พอสำหรับประเทศไทยซึ่งมีประชากร 70 ล้านคน ต่างจากผู้นำหนุ่มสาวของออสเตรีย นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์
และทั้ง 3 ผู้นำเป็น “อดีต” ไปแล้ว บางคนไฟหมด บางคนมีปัญหาไม่น่าไว้ใจ บางคนรักสนุกมาก ประชาชนไม่ยอมรับ สังคมบ้านเราคนหลากหลาย เอาใจยาก
ยิ่งผลประโยชน์เป็นตัวตัดสินอย่างเดียว ตามแบบการเมืองด้อยพัฒนามีแต่การทุจริต คอร์รัปชั่น พรรคคนรุ่นใหม่ต้านการโกงกิน ยิ่งทำให้ลงตัวยาก
พวกเขี้ยวยาวทั้งหลายไม่มีโอกาสได้ทำมาหากินถอนทุน ทำให้การเจรจา เงื่อนไขต่างๆ ประสานกันได้ยาก เว้นแต่ยอมให้โกง ทำเป็นมองไม่เห็น
พวกมองโลกในแง่ดี อยู่ในบรรยากาศสวนกุหลาบ อ้างว่าผลสุดท้ายคงตกลงได้ การต่อรองเป็นเรื่องธรรมดา อย่างนี้เป็นไปได้ถ้าไม่มีประเด็น “โกงได้ โกงไม่ได้”
ถ้าพรรคคนรุ่นใหม่สามารถเจรจาให้ทุกฝ่ายยอมรวมด้วย แสดงว่าเงื่อนไข “โกงได้” น่าจะเป็นประเด็นที่ว่า “ทำเป็นมองไม่เห็น” หรือว่า “อย่ามูมมาม ประเจิดประเจ้อ ปากเลอะเทอะเกินไป” อะไรทำนองนั้น การเจรจาทุกวงการเมือง ไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้
ทุกพรรคต่างอ้างว่าจะทำมาหากิน เอ๊ย...ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สามารถแหกดมพิสูจน์ได้ นั่นเลย ไม่มีพรรคไหนบอกว่าจะเข้าไปถอนทุนก่อน
ใครอยากเรียนวิชารัฐศาสตร์การเมือง ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวขณะนี้ได้ดีว่าแต่ละฝ่ายมีจังหวะก้าวเดิน มีเหลี่ยมคูอย่างไร เชือดเฉือนทั้งที่หน้ายิ้มแย้ม
ถึงมีคำพูดว่า “ซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้ม” ในวงการเมืองแห่งผลประโยชน์
ท่านผู้นำห้าวเป้งรักษาการณ์ตำแหน่งนายกฯ ก็ยังไม่รีบร้อน ดูเหมือนจะพยายามทำใจยอมรับสภาพ แต่ก็ยังรอโอกาสที่จะรักษาการณ์ต่อไปอีกนาน
อย่างน้อยก็น่าจะเป็น 3 เดือนที่ชาวบ้านจะได้เห็นท่านห้าวเป้งตอบคำถามผู้สื่อข่าว ทำหน้าที่เท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนจะโบกมืออำลาไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน