xs
xsm
sm
md
lg

ถอดสลักสถาบันพระมหากษัตริย์ สู่เป้าหมายนายกฯ ของพิธา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

โอกาสการเป็นนายกรัฐมนตรีของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้น ใกล้เป็นจริงมากขึ้น แม้จะต้องการเสียงสนับสนุนจากส.ว.อีกกว่า 60 เสียง เมื่อในเอ็มโอยูของพรรคที่ประกาศว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลระบุถ้อยคำว่า ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่าภารกิจของรัฐบาลที่ทุกพรรคจะผลักดันนั้น ต้องไม่กระทบต่อรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์


แม้ในแนวทางการบริหารประเทศจะเห็นพ้องต้องกันว่า ให้ทุกพรรคสามารถเสนอนโยบายเพิ่มเติมได้ในนามของฝ่ายบริหารที่เป็นรัฐมนตรี หรือในนามพรรคโดยอาศัยอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ

4. ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารของรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของแต่ละพรรคการเมือง

5. ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติมแต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติของผู้แทนราษฎรที่สังกัดแต่ละพรรคการเมือง

แต่จะเห็นว่า ทั้งสองข้อระบุไว้ชัดว่าจะเสนอนโยบายอะไรก็เสนอไป แต่การเสนอนโยบายในนามพรรคและผ่านรัฐมนตรีต้องไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้นแม้พิธา ประกาศว่าจะผลักดันการแก้ไขมาตรา 112 ในนามพรรคก็คงเพียงเพื่อเอาใจด้อมส้มไม่ให้ขุ่นเคืองใจ เพราะมีคนประกาศไว้แล้วว่า #ไม่แก้112ไม่มีกู แต่ถ้ายื่นเมื่อไหร่ก็ผิดข้อตกลงที่ทำร่วมกันกับพรรคการเมืองอื่นทันที โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ทักษิณประกาศไว้แล้วว่า

“รู้มั้ยว่า ผมกับคุณหญิงนี่ สมรสพระราชทานนะครับ ผมอาจจะไม่ได้มีพิธีเหมือนสมัยนี้ แต่พิธีของผมคือสมรสพระราชทาน ฉะนั้นเรื่องความสำนึกอะไรพวกนี้ มันมีอยู่ นะครับ มันมีอยู่ จะให้ผมไม่มีมันเป็นไปไม่ได้เลย นะครับ

แน่นอน สมมติว่า พรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล สิ่งไหนที่พรรคก้าวไกลจะทำ ซึ่งคิดว่าไม่ทำนะ ทำในสิ่งที่กระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็คงไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ใช่ขวาจัดตกขอบ ไม่ใช่ แต่เราเป็นคนไทย เราเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ เท่านั้นเอง ชัดเจน ไม่มีบิดพลิ้ว”

ทักษิณแม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวกับกับพรรค แต่เรารู้กันว่าในทางพฤตินัยนั้นทักษิณคือเจ้าของพรรคตัวจริง พรรคเพื่อไทยนั้นเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของรัฐบาลพิธาถ้าจัดตั้งได้สำเร็จ หากพรรคเพื่อไทยถอนตัวเมื่อไหร่รัฐบาลก็จะล่มทันที

แน่นอนคนที่ไม่พอใจบันทึกของตกลงที่รับปากว่าจะไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือพวกที่มีแนวคิดปฏิกษัตริย์นิยมที่มุ่งหมายจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเพียงแนวคิดแอบแฝงแต่มีเป้าหมายแท้จริงคือต้องการไปสู่การปกครองระบอบสาธารณรัฐอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลหรือคนที่มีแนวคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างปิยบุตร แสงกนกกุลจะออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจทันที เพราะพวกเขาวาดฝันว่าจากผลการเลือกตั้งที่ออกมาวันนี้มวลชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขาแล้ว

ทั้งที่เสียงที่ลงให้พรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียงจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 50 ล้านเสียงนั้นไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ และคนที่ลงให้พรรคก้าวไกลก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาอาจเพียงแต่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เพราะอยากออกจากอำนาจบริหารของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น

หากใครได้อ่านร่างมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลสำหรับคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่ออ่านแล้วจะรู้สึกปวดร้าวใจเพราะ เขาจะยกเลิกมาตรา 112 แล้วเขียนมาตราใหม่เอาออกจากหมวดความมั่นคงไปตั้งหมวดใหม่ให้โทษดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์นั้นเหลือเท่ากับบุคคลธรรมดาในกฎหมายหมิ่นประมาทปัจจุบัน จากนั้นให้พระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีโดยมีสำนักพระราชวังเป็นตัวแทนในการฟ้องร้องดำเนินคดี

แต่ถึงวันนี้การทำบันทึกร่วมกันของพรรคการเมืองหรือเอ็มโอยูนั้นก็น่าจะเป็นหลักประกันอันหนึ่งว่าความพยายามในการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรานี้จะทำได้ยากขึ้น การพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1เกี่ยวกับรูปแบบของรัฐ และหมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์นั้นจะไม่สามารถกระทำได้

เชื่อว่าถ้ารับปากว่าไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่บิดพลิ้วหลักการที่ตกลงร่วมกันก็อาจทำให้ส.ว.หลายคนมีท่าทีที่โอนอ่อนมากขึ้น แม้ว่าสิทธิและอำนาจในการจะยกมือให้หรือไม่จะมีความชอบธรรมก็ตาม

ถึงตอนนี้ก็มีตรรกะแปลกขึ้นมามาก เช่น อ้างมติมหาชนว่าต้องการให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีทุกคนต้องยกมือให้พิธาไม่ว่าพรรคนั้นจะได้ร่วมรัฐบาลหรือไม่ รวมไปถึงส.ว. ทั้งที่จริงๆ แล้วพรรคก้าวไกลเพียงแต่ได้เสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 152 ที่นั่งจาก 500 เสียง ยังไม่ถึง 1 ใน 3 เลย และกระแสกดดันแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน เคยมีการเลือกตั้งหลายครั้งและมีหลายพรรคที่ได้รับเลือกตั้งมากกว่านี้ แต่ไม่เคยมีกระแสกดดันให้ทุกคนต้องยอมรับโดยอ้างมติมหาชนแบบนี้มาก่อน

นอกจากนั้นมวลชนของพรรคก้าวไกลยังไม่ยอมรับพรรคชาติพัฒนากล้า เพราะเห็นว่ากรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคเคยสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชามาก่อน แต่กลับไม่รู้สึกแบบนั้นกับสมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยร่วมรัฐบาลกับพล.อ.ประยุทธ์ด้วยซ้ำไป ทั้งยังใช้กระแสกดดันเรียกร้องให้ส.ว.ที่กล่าวว่าเป็นผลผลิตของเผด็จการยกมือให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นตรรกะที่ย้อนแย้งมาก

จะเห็นได้ว่ามวลชนของพรรคก้าวไกลนั้นมีอารมณ์ที่รุ่มร้อนมาก เห็นได้จากการใช้โซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อนด้วยการใช้แฮชแท็กเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องการ น่าสนใจเหมือนกันว่าหากพรรคก้าวไกลบริหารประเทศแล้วไม่สามารถตอบสนองอารมณ์ของมวลชนได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ตอนนี้เท่าที่ทราบแกนนำพรรคก้าวไกลหลายคนพยายามต่อสายถึงส.ว.เป็นรายๆ ไปเพื่อขอเสียงสนับสนุน ซึ่งผมเห็นว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องมากกว่าจะใช้กระแสกดดันหรืออ้างมติมหาชนว่าจะต้องยกมือให้ เพราะถ้าส.ว.เขาติดใจประเด็นไหนก็อธิบายทำความเข้าใจและโน้มน้าวกันดีกว่ามองว่าพวกเขาเป็นวัตถุที่ไม่ต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะหากรัฐบาลก้าวไกลมีแนวทางที่จะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ส.ว.ที่เขามีความจงรักภักดีเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่สนับสนุนรัฐบาลที่มีนโยบายแบบนี้

แต่ที่ตลกมากคือ การอ้างเป็นตัวแทนของชาวพะเยาทั้งจังหวัดโดยคณาจารย์รัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยพะเยาจำนวนหนึ่ง ที่เรียกร้องให้ส.ส.พะเยาทั้งสามคนที่สังกัดพรรคพลังประชารัฐต้องยกมือให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตรรกะที่ประหลาดมาก เพราะแต่ละพรรคการเมืองย่อมจะมีอุดมการณ์ความคิดที่แตกต่างกัน เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะดำเนินไปตามแนวทางพรรคของเขาและไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ต่างกัน ที่สำคัญเขาไม่ใช่พรรคที่เข้าร่วมกับจัดตั้งรัฐบาล ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ยกมาอ้างอยู่ในตำรารัฐศาสตร์ฉบับไหน

อย่างไรก็ตามส่วนตัวผมอยากเห็นการบริหารประเทศตามแนวทางของพรรคก้าวไกลว่าพวกเขาจะนำพาประเทศไปทางไหน พวกเขามีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศหรือไม่ แนวนโยบายต่างๆ ที่พวกเขาประกาศนั้นจะทำได้จริงหรือไม่ คือมาร่วมรับรู้ชะตากรรมกันตั้งแต่วันนี้เลย หากพวกเขาสามารถรวบรวมเสียงส่วนใหญ่จำนวน 376 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

คนจำนวนมากเลือกผู้สมัครของพรรคก้าวไกลโดยไม่รู้เลยว่าคนเหล่านี้เป็นใครมีความรู้ความสามารถอย่างไร หลายคนมีประวัติส่วนตัวที่บอกตรงๆ ว่าผมยังงุนงงว่าพวกเขาเลือกคนแบบนี้มาเป็นผู้แทนของตัวเองได้อย่างไร แต่เพราะความสำเร็จในการสร้างกระแสจูงใจสังคมของพรรคทำให้คนจำนวนหนึ่งเห็นว่าพรรคนี้เป็นพรรคที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศ คนที่ไม่ได้เลือกพรรคนี้ก็ต้องยอมรับผลของการแข่งขันและเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ามาบริหารประเทศทั้งในบทบาทของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

แต่การเมืองก็เป็นการแข่งขันช่วงชิงอำนาจ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะประกาศสนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างเต็มตัวในการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล แต่ลึกๆก็มีย่อมจะมีความหวังว่าหากพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จก็จะเป็นโอกาสของพรรคเพื่อไทย แน่นอนว่าทักษิณต้องการให้พรรคของเขาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่ เพราะถ้าพลาดไปกินน้ำใต้ศอกของพรรคก้าวไกลเที่ยวนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย

อย่างไรก็ตามการถอยออกจากการไปยุ่งเหยิงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมืองนั่นแหละ ที่อาจทำให้โอกาสของพิธากับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ใกล้เคียงความเป็นจริง

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น