ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติ
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เมื่อปี 2518 เวียดนามเพิ่งชนะสงครามเวียดนามมาหมาด ๆ อเมริกันหนีกระเจิดกระเจิง และด้วยการเมืองภายในประเทศกดดันให้อเมริกันเลิกไปสาระแนยุ่งเรื่องชาวบ้านเขา อเมริกาก็เลยจำใจต้องถอนทัพออกจากประเทศไทย ประเทศไทยจะเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายในเอเชียที่จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์
กองทัพเวียดนามฮึกเหิมมีแสนยานุภาพมากในเวลานั้นบุกประชิดชายแดนไทยด้วยรถถังและอาวุธครบมือตั้งแต่อุบลราชธานีจนถึงสระแก้ว ตาพระยา มีเป้าหมายว่าจะเข้ามากินข้าวมันไก่ในกรุงเทพภายในสามวัน
รัฐบาลในเวลานั้นเป็นมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชื่อ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชื่อ กร ทัพพะรังสี หลานชายของน้าชาติเอง คุณชายมอบหมายให้พลเอกชาติชายดูแลเรื่องที่เวียดนามจะบุกไทย
พลเอกชาติชายเรียกผู้บัญชาการเหล่าทัพมาพบที่วังสราญรมณ์ โดยด่วนภายในหนึ่งชั่วโมง ขึ้นรูปรถถังเวียดนามที่จ่อประชิดชายแดนไทยทั้งหมด แล้วถามผู้นำเหล่าทัพว่า เราจะสู้กับเวียดนามได้ไหม คำตอบผู้บัญชาการเหล่าทัพในเวลานั้นคือ สู้ได้ แต่สู้ได้แค่สี่วันเพราะกระสุนหมด พลเอกชาติชายถามผู้นำเหล่าทัพว่าแล้วหลังจากนั้นคุณจะให้ผมทำอย่างไร?
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณตัดสินใจเข้าพบนายกรัฐมนตรีในทันที เล่าเรื่องให้คุณชายคึกฤทธิ์ฟังแล้วทั้งสองท่านก็ตัดสินใจว่า เราต้องไปปักกิ่งให้ด่วนที่สุด
ในเวลานั้นไทยรับรองไต้หวันเป็นประเทศ ไม่ได้รับรองจีนแผ่นดินใหญ่ เรามีสถานเอกอัครราชทูตไทยเปิดทำการที่กรุงไทเป และยังไม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์กับจีน เราจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาก็มิได้ เพราะสหรัฐอเมริกาก็เพิ่งแพ้พ่ายสงครามเวียดนาม ต้องเอาเฮลิคอปเตอร์มาขนฑูตอเมริกันออกจากเวียดนามใต้ที่ไซง่อนอย่างทุลักทุเล ใครเคยอ่านเรื่องสิ้นชาติที่เขียนโดยเหงียนเกากีอดีตนายกรัฐมนตรีของเวียดนามใต้ก็คงพอเข้าใจสถานการณ์ในเวลานั้น
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ตัดสินใจส่งโทรเลขไปยังปักกิ่งขอเข้าพบโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น โดยคำนวณไว้ในใจว่าจะได้รับคำตอบเป็นสามกรณี
กรณีแรก คือไม่ให้เข้าพบ
กรณีที่สอง คือให้เข้าพบแต่ขอให้ไทยปิดสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงไทเปเสียก่อน
กรณีที่สาม คือให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข
โทรเลขกลับมาจากกรุงปักกิ่ง ได้คำตอบมาเป็นกรณีที่สาม ให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข น้าชาติดีใจมาก และรีบบินไปปักกิ่งเพื่อขอพบโจวเอินไหลในทันที
เมื่อน้าชาติได้พบโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีในดวงใจของชาวจีน ประโยคแรกที่น้าชาติได้ยินจากโจวเอินไหล คือ ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้พบกับลูกชายของสหายเก่า (เหล่าเผิงโหย่ว) น้าชาติหันไปกระซิบกับคุณกรทันทีว่าทำไมโจวเอินไหลจึงรู้จักคุณตา (จอมพลผิน ชุณหะวัณ พ่อของน้าชาติ คุณตาของคุณกร ทัพพะรังสี) โจวเอินไหลเล่าเรื่องที่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามมหาเอเชียบูรพาได้มาประจำการที่มณฑลยูนนาน ในเวลาเดียวกันกับที่จอมพลผิน ได้ไปบัญชาการรบที่เชียงตุงอันติดกับยูนนานทำให้ได้ทำงานร่วมกันและรู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับจอมพลผินเป็นอย่างดี บรรดานักการฑูตจีนในวันนั้นต่างพากันอมยิ้ม เพราะรู้ว่าการเจรจาความเมืองระหว่างไทยกับจีนจะง่ายดายสะดวกโยธิน เพราะโจวเอินไหลนับว่าน้าชาติเป็นหลานชายเพราะเป็นลูกของเพื่อนเก่าแก่ที่คบหากันมานาน
น้าชาติมีลีลานักการฑูตชั้นเซียน มิได้เอ่ยเรื่องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทยกับจีนเลย ไม่ได้กล่าวถึงการปิดสถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงไทเปด้วย น้าชาติกราบเรียนขอความเมตตาจากท่านนายกโจวว่าให้ท่านนายกโจวช่วยหาที่ดินที่จะสร้างสถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงปักกิ่งให้ไทยหน่อย ท่านนายกโจวได้ตอบรับไมตรีจากน้าชาติในทันที และขอให้น้าชาติช่วยหาที่ตั้งสถานเอกอัครราชฑูตจีนในกรุงเทพให้กับทางจีนเช่นกัน
และนี่คือที่มาของการเยือนจีนเพื่อเปิดความสัมพันธ์ทางการฑูต ซึ่งศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ไปพบประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง ในกรุงปักกิ่งในเวลาต่อมาในอีกไม่นาน โดยที่คุณชายคึกฤทธิ์ ได้ทักทายว่าประธานเหมาเป็น เหล่าเผิงโหย่ว อย่างแน่นแฟ้น และได้เปิดสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
และนี่คือที่มาของสงครามสั่งสอนที่จีนรบกับเวียดนาม ที่ทำให้กรุงเทพไม่ต้องแตกเพราะกองทัพเวียดนามจะบุกเข้ามากินข้าวมันไก่ในกรุงเทพได้ในสามวัน
โลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ
ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง
กินน้ำอย่าลืมคนขุดบ่อ
สาขาวิชาสถิติ
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เมื่อปี 2518 เวียดนามเพิ่งชนะสงครามเวียดนามมาหมาด ๆ อเมริกันหนีกระเจิดกระเจิง และด้วยการเมืองภายในประเทศกดดันให้อเมริกันเลิกไปสาระแนยุ่งเรื่องชาวบ้านเขา อเมริกาก็เลยจำใจต้องถอนทัพออกจากประเทศไทย ประเทศไทยจะเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายในเอเชียที่จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์
กองทัพเวียดนามฮึกเหิมมีแสนยานุภาพมากในเวลานั้นบุกประชิดชายแดนไทยด้วยรถถังและอาวุธครบมือตั้งแต่อุบลราชธานีจนถึงสระแก้ว ตาพระยา มีเป้าหมายว่าจะเข้ามากินข้าวมันไก่ในกรุงเทพภายในสามวัน
รัฐบาลในเวลานั้นเป็นมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชื่อ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชื่อ กร ทัพพะรังสี หลานชายของน้าชาติเอง คุณชายมอบหมายให้พลเอกชาติชายดูแลเรื่องที่เวียดนามจะบุกไทย
พลเอกชาติชายเรียกผู้บัญชาการเหล่าทัพมาพบที่วังสราญรมณ์ โดยด่วนภายในหนึ่งชั่วโมง ขึ้นรูปรถถังเวียดนามที่จ่อประชิดชายแดนไทยทั้งหมด แล้วถามผู้นำเหล่าทัพว่า เราจะสู้กับเวียดนามได้ไหม คำตอบผู้บัญชาการเหล่าทัพในเวลานั้นคือ สู้ได้ แต่สู้ได้แค่สี่วันเพราะกระสุนหมด พลเอกชาติชายถามผู้นำเหล่าทัพว่าแล้วหลังจากนั้นคุณจะให้ผมทำอย่างไร?
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณตัดสินใจเข้าพบนายกรัฐมนตรีในทันที เล่าเรื่องให้คุณชายคึกฤทธิ์ฟังแล้วทั้งสองท่านก็ตัดสินใจว่า เราต้องไปปักกิ่งให้ด่วนที่สุด
ในเวลานั้นไทยรับรองไต้หวันเป็นประเทศ ไม่ได้รับรองจีนแผ่นดินใหญ่ เรามีสถานเอกอัครราชทูตไทยเปิดทำการที่กรุงไทเป และยังไม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์กับจีน เราจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาก็มิได้ เพราะสหรัฐอเมริกาก็เพิ่งแพ้พ่ายสงครามเวียดนาม ต้องเอาเฮลิคอปเตอร์มาขนฑูตอเมริกันออกจากเวียดนามใต้ที่ไซง่อนอย่างทุลักทุเล ใครเคยอ่านเรื่องสิ้นชาติที่เขียนโดยเหงียนเกากีอดีตนายกรัฐมนตรีของเวียดนามใต้ก็คงพอเข้าใจสถานการณ์ในเวลานั้น
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ตัดสินใจส่งโทรเลขไปยังปักกิ่งขอเข้าพบโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น โดยคำนวณไว้ในใจว่าจะได้รับคำตอบเป็นสามกรณี
กรณีแรก คือไม่ให้เข้าพบ
กรณีที่สอง คือให้เข้าพบแต่ขอให้ไทยปิดสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงไทเปเสียก่อน
กรณีที่สาม คือให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข
โทรเลขกลับมาจากกรุงปักกิ่ง ได้คำตอบมาเป็นกรณีที่สาม ให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข น้าชาติดีใจมาก และรีบบินไปปักกิ่งเพื่อขอพบโจวเอินไหลในทันที
เมื่อน้าชาติได้พบโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีในดวงใจของชาวจีน ประโยคแรกที่น้าชาติได้ยินจากโจวเอินไหล คือ ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้พบกับลูกชายของสหายเก่า (เหล่าเผิงโหย่ว) น้าชาติหันไปกระซิบกับคุณกรทันทีว่าทำไมโจวเอินไหลจึงรู้จักคุณตา (จอมพลผิน ชุณหะวัณ พ่อของน้าชาติ คุณตาของคุณกร ทัพพะรังสี) โจวเอินไหลเล่าเรื่องที่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามมหาเอเชียบูรพาได้มาประจำการที่มณฑลยูนนาน ในเวลาเดียวกันกับที่จอมพลผิน ได้ไปบัญชาการรบที่เชียงตุงอันติดกับยูนนานทำให้ได้ทำงานร่วมกันและรู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับจอมพลผินเป็นอย่างดี บรรดานักการฑูตจีนในวันนั้นต่างพากันอมยิ้ม เพราะรู้ว่าการเจรจาความเมืองระหว่างไทยกับจีนจะง่ายดายสะดวกโยธิน เพราะโจวเอินไหลนับว่าน้าชาติเป็นหลานชายเพราะเป็นลูกของเพื่อนเก่าแก่ที่คบหากันมานาน
น้าชาติมีลีลานักการฑูตชั้นเซียน มิได้เอ่ยเรื่องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทยกับจีนเลย ไม่ได้กล่าวถึงการปิดสถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงไทเปด้วย น้าชาติกราบเรียนขอความเมตตาจากท่านนายกโจวว่าให้ท่านนายกโจวช่วยหาที่ดินที่จะสร้างสถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงปักกิ่งให้ไทยหน่อย ท่านนายกโจวได้ตอบรับไมตรีจากน้าชาติในทันที และขอให้น้าชาติช่วยหาที่ตั้งสถานเอกอัครราชฑูตจีนในกรุงเทพให้กับทางจีนเช่นกัน
และนี่คือที่มาของการเยือนจีนเพื่อเปิดความสัมพันธ์ทางการฑูต ซึ่งศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ไปพบประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง ในกรุงปักกิ่งในเวลาต่อมาในอีกไม่นาน โดยที่คุณชายคึกฤทธิ์ ได้ทักทายว่าประธานเหมาเป็น เหล่าเผิงโหย่ว อย่างแน่นแฟ้น และได้เปิดสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
และนี่คือที่มาของสงครามสั่งสอนที่จีนรบกับเวียดนาม ที่ทำให้กรุงเทพไม่ต้องแตกเพราะกองทัพเวียดนามจะบุกเข้ามากินข้าวมันไก่ในกรุงเทพได้ในสามวัน
โลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ
ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง
กินน้ำอย่าลืมคนขุดบ่อ