ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
พรรคก้าวไกลคงไม่ได้ต้องการแค่ชนะสนามรบในการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ในวันนี้ แต่คงต้องการชนะสงครามทั้งกระดานในอนาคตมากกว่า
เพราะเพียงแค่พรรคก้าวไกลประกาศหยุดการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในสมัยนี้ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็คงเป็นนายกรัฐมนตรีทันที เพราะจะไม่มี “ข้ออ้าง” ใดๆที่ ส.ว.หรือพรรคการเมืองใดอีก 66 เสียงจะไม่ร่วมสนับสนุน
และถ้าพรรคก้าวไกลยอม ก็จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยสามารถแสดงฝีมือที่จะปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างเต็มที่ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดความเดือดร้อน และลดความยากจนของประชาชนในประเทศตามที่ได้หาเสียงเอาไว้อย่างเต็มที่
ถ้าถอย 1 เรื่อง แต่ทำสำเร็จ 299 เรื่อง แล้วเกิดประโยชน์ต่อประเทศได้ ประชาชนก็คงจะได้รับประโยชน์ตามที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะถ้านโยบายเหล่านั้นทำได้จริงและเกิดประโยชน์จริง
แต่ถึงวันนี้ยังไม่แน่ใจว่า พรรคก้าวไกลอาจจะไม่ยอมถอยเรื่อง การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ด้วยเพราะแรงกดดันไม่เพียงจากมวลชนแต่ยังรวมถึงผู้ทรงอิทธิพลต่อพรรคก้าวไกลด้วย
ทั้งๆที่พรรคก้าวไกลก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่า หากเสนอแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีเนื้อหาไม่ต่างจากการยกเลิกมาตรา 112 นั้น จะไม่สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้
ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลที่อ้างว่า แค่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้ยกเลิกนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกอยู่มาก เพราะขอเสนอการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าเป็นการ “แก้ไข” ที่มีเนื้อหาไม่ต่างจากการ “ยกเลิก”
โดยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 บัญญัติว่า
"ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"
จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำความผิดจะเกิดขึ้นเฉพาะ “หมิ่นประมาท”, “ดูหมิ่น” หรือ “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” เท่านั้น ไม่ได้แปลว่าการวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความเห็นทางวิชาการเป็นความผิดแต่ประการใด
ถ้าสมมุติว่า “ยกเลิก” ประมวลกฎหมายอาญามาตาา 112 ก็เท่ากับว่าหากพระมหากษัตริย์จะต้องไปใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับหมิ่นประมาทสำหรับคุ้มครองบุคคลธรรมดา
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษรกระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
และถ้าสมมุติว่าพระมหากษัตริย์ถูกผู้ใดหมิ่นประมาท ก็ต้องไปฟ้องเอาเอง และสำนักงานพระราชวังก็จะต้องทำหน้าที่นี้ ใช่หรือไม่?
และถ้าทำอย่างนั้น พระมหากษัตริย์ย่อมต้องเป็นคู่กรณีกับประชาชนเป็นประจำหรือไม่ และการทะเลาะกับประชาขน แจะทำให้ทรงพระเกียรติเป็นประมุขแห่งรัฐต่อไปได้หรือ?
ในทางตรงกันข้ามหากสำนักพระราชวังไม่ต้องการทะเลาะกับประชาน ปล่อยให้มีการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ให้ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ก็ต้องถูกดูหมิ่นด้อยค่าต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร
ดังนั้น “การยกเลิก” ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็จะส่งผลทำให้ สำนักพระราชวังเป็นคู่กรณี และมีโทษเหมือนหมิ่นประมาททั่วไป
แต่ข้อเสนอ ที่พรรคก้าวไกล อ้างว่า “แก้ไข” คือให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ฟ้อง หรือ ให้ลดโทษเท่ากับคดีหมิ่นประมาทนั้น มีเนื้อหาสาระไม่ต่างจากการยกเลิกเลย
เพราะปัญหาเกิดจากการ “บังคับใช้กฎหมาย” เรายังสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมในการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้
แต่ไม่ใช่อ้างว่า “แก้ไข” เท่านั้น แต่แท้ที่จริงเป็นการ “อำพราง” เนื้อหาที่เท่ากับการ “ยกเลิก” ใช่หรือไม่?
ด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่ แกนนำพรรคก้าวไกลบางคนจึงได้ประกาศว่า หากแก้ไขไม่ได้ ก็ให้ยกเลิก เพราะความจริงเนื้อหาของการแก้ไขไม่ต่างจากการยกเลิก ใช่หรือไม่?
ยังไม่นับคำถามว่าเหตุใดพระมหากษัตริย์จะสามารถถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาทได้เหมือนบุคคลธรรมดา ซึ่งบทลงโทษต่ำกว่าบทบัญญัติคุ้มครองประมุขแห่งรัฐอื่น ทูตานุทูต ในประเทศไทยได้อย่างไร? หรือเราจะไปลดโทษการดูหมิ่น หมิ่นประมาทผู้นำชาติอื่นๆได้ง่ายขึ้นให้ประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนต่อไป
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า พรรคก้าวไกลเป็น “พรรคการเมืองเดียว” ที่เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมี ส.ส.รวมทั้งสิ้นประมาณ 152 เสียง จาก ส.ส.ทั้งหมด 500 เสียง พรรคก้าวไกล จึงไม่ใช่เสียงข้างมากของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และในความเป็นจริง ส.ส. ของพรรคก้าวไกลจำนวน 152 เสียง ด้วยประชาชนจำนวน 14.2 ล้านเสียง นอกจากจะไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศอีก 37 ล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล จึงไม่ได้แปลว่าคนเหล่านี้เขาจะเห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
เช่นเดียวกันกับเสียงจำนวน 14.2 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้แปลว่า “ทุกคน” จะเห็นด้วยกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เช่นกัน เพราะผู้ลงคะแนนเสียงเหล่านั้นอาจจะต้องการเลือกเพื่อหยุดพรรคลุงทั้ง 2 ให้ยุติบทบาททางการเมือง หรือเห็นด้วยกับนโยบายอื่นๆ
แต่การที่พรรคก้าวไกลจะไม่ประกาศถอยในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่วันนี้ เพียงเพื่อแลกกับการเข้าสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรัฐบาลได้นั้น วิเคราะห์ได้หรือไม่ว่าน่าจะต้องการอะไรที่มากกว่านั้น ใช่หรือไม่
พรรคก้าวไกล ต้องการ“รุกฆาตทางการเมือง” เป็นรัฐบาลในวันนี้ก็เข้าไปรื้อโครงสร้างทั้งระบบตามที่ได้หาเสียง แต่เป็นฝ่ายค้านก็เพื่อให้พรรคเพื่อไทยกลืนน้ำลายตัวเอง เตรียมรอล้างทั้งระบบในวันข้างหน้า
คุณทักษิณ ชินวัตร ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อพรรคเพื่อไทย ที่อ้างว่าหากร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล อ้างว่าจะไม่ให้กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น คุณทักษิณแน่ใจหรือว่าเมื่อจัดสรรกระทรวงและรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล จะไม่อาศัยอำนาจที่บริหารกระทรวงและกรมต่างๆ จะไม่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลย
ถึงตอนนั้นพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอะไรได้
อย่างไรก็ตามการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลจึงอาจจะพร้อมที่จะแพ้ในสนามรบในการจัดตั้งรัฐบาลในวันนี้ อาจะต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลืนน้ำลายตัวเองไปร่วมกับรัฐบาลสูตรไขว้กับบางพรรคในรัฐบาลเดิม เพื่อไปชนะสงครามในอีก 4 ปีข้างหน้าอย่างถล่มทลายมากกว่า เพื่อกวาดล้างโครงสร้างทั้งระบบ ใช่หรือไม่?
ส่วนฝ่ายที่ยังคิดจัดตั้งรัฐบาลขวางพรรคก้าวไกล แต่ยังไม่ปรับตัว คิดแต่โหนเจ้าเพื่อมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตนเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนเหมือนเดิม (เช่น กลุ่มทุนพลังงาน) ประชาชนก็จะยังคงเดือดร้อนต่อไปอีก 4 ปี และจะเป็นชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
18 พฤษภาคม 2566