ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เขียนโพสต์วันนี้เหมือนกับว่าเป็นเพราะคุณชูวิทย์ “ต่อต้านกัญชาเสรี” มาโดยตลอดในช่วงการหาเสียง แล้วเขียนข้อความลักไก่กล่าวหาว่ามีบรรดาเครือข่ายผู้เสียผลประโยชน์รุมถล่มหาเรื่องส่วนตัวกับคุณชูวิทย์ในเรื่องการทวงคืนสวนชูวิทย์ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งผมเห็นว่าคุณชูวิทย์โพสต์ไม่เป็นความจริงเลย แต่เป็นกฎแห่งกรรมกำลังทำงานต่างหาก
ผมไม่ขัดข้องที่จะมีใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายกัญชา เพราะผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีการถกเถียงกันเหมือนกับหลายประเทศ แต่ผมจะไม่เห็นด้วยเด็ดขาดหากมีการโกหกต่อประชาชนแล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องกัญชา ซึ่งผมขอให้คุณชูวิทย์หยุดการโกหกได้แล้ว มี 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 คือเรื่องกัญชา กับเรื่องที่ 2 คือ ที่ดินสวนชูวิทย์
เรื่องกัญชา
ประการแรก ผมและคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เคยทำธุรกิจปลูกกัญชาแม้แต่ต้นเดียวและไม่เคยเปิดร้านขายช่อดอกกัญชาด้วย และไม่เคยลงทุนปลูกกัญชาหรือกัญชงที่บุรีรัมย์หรือจังหวัดไหนทั้งสิ้น คุณสนธิและผมจึงไม่ใช่เครือข่ายผู้เสีย “ผลประโยชน์ทางธุรกิจใด” ในเรื่องกัญชาอย่างที่คุณชูวิทย์พยายามให้คนอ่านอาจเข้าใจผิด
ประการที่สอง ผมเชิญ(ท้า)คุณชูวิทย์ให้มาดีเบต เพราะประชาชนควรจะได้รับฟังความเห็นทั้ง 2 ด้าน “ในเวทีเดียวกัน” เอาเวลาเท่าๆ กัน ว่ากันประเด็นต่อประเด็นเพื่อประโยชน์ของผู้ชมในการตัดสินใจ
ที่ผมท้าเช่นนั้นก็เพราะผมเห็นว่าคุณชูวิทย์โกหกเอาไว้หลายเรื่อง แต่คุณชูวิทย์อ้างว่าเพราะผมเป็นเด็กวานซืน จึงปฏิเสธรับคำท้าจากผม
ทั้งๆ ที่คนที่คุณชูวิทย์ไประรานหรือคุกคามนั้นล้วนแล้วแต่อายุน้อยกว่าคุณชูวิทย์ทั้งสิ้น เช่น ทนายตั้ม หรือเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
แต่ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความจริงแล้วคุณชูวิทย์ขี้ขลาด ตาขาว และไม่กล้าดีเบตเป็นเรื่องเป็นราวกับผม เพราะกลัวแพ้ผมมากกว่า
เพราะข้อมูลของคุณชูวิทย์ที่อ้างเรื่องแนวร่วมแพทย์ที่ต่อต้านกัญชา ได้ผ่านการถกเถียงกันอย่างหนักหักล้างกันในทางวิชาการในกรรมาธิการฯ ของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วทั้งสิ้น และผมก็เป็นหนึ่งในการชี้แจงหลายครั้งไปแล้วด้วย
ถ้าคุณชูวิทย์มั่นใจในข้อมูลแพทย์กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันต่อต้านกัญชา ก็ควรรับดีเบตกับผม อย่าขี้ขลาด ไปพูดกับสื่อหรือประชาชนอยู่ฝ่ายเดียวที่คนที่ไม่รู้ความจริงหรือไม่รู้ทันคุณชูวิทย์จึงไม่สามารถโต้แย้งได้
แล้วยังมีหน้าพูดให้สื่อเข้าใจว่าผมเล่นกัญชาทุกวัน ซึ่งเมื่อไหร่จะเลิกใส่ร้ายและโกหกคนอื่นเช่นนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับที่เคยใส่ร้ายว่าคุณสนธิเคยไปอาบอบนวดของคุณชูวิทย์ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย หรือการโกหกว่าคุณสนธินอนในห้องแอร์ที่เรือนจำนั้นก็เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
ประการที่สาม คุณชูวิทย์อ้างมาตลอดว่าคัดค้านกัญชาเสรี มอมเมาเยาวชน ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครเห็นด้วยกับกัญชาเสรีเลย และไม่มีใครเห็นด้วยที่ให้เยาวชนได้ใช้กัญชาด้วย (ถ้าไม่ป่วย)
ไม่เว้นแม้แต่นโยบายกระทรวงสาธารณสุข และพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เคยมีใครเห็นด้วยให้กับการให้กับเด็กและเยาวชนใช้กัญชาเลย ดังนั้นการจำหน่ายและการให้กัญชากับเด็กและเยาวชนก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายตั้งแต่แรก
หลักฐานคือกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ฉบับ และเป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุขโดยอาศัยอำนาจในระดับพระราชบัญญัติที่มีอยู่แล้วทั้งสิ้น
ถ้าคุณชูวิทย์ศึกษากฎหมายเสียหน่อยก็จะได้รู้ว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุขได้อำนาจตามพระราชบัญญัติหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติอาหาร พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มาประยุกต์ใช้ในการควบคุมกัญชา รวมประกาศกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอื่นๆ ไม่ต่ำกว่า 12 ฉบับ
ผลที่ตามมาคือ ปัจจุบันประเทศไทยกัญชาไม่ได้เสรี ดังตัวอย่างเช่น ประกาศกระทรวงสาธารณสุขได้ห้ามจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี นิสิตนักเรียน นักศึกษา, ห้ามใส่ช่อดอกกัญชาในอาหาร ห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรกัญชาจากต่างประเทศ, กำหนดหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายอาหารที่มีผสมกัญชาในร้านอาหาร, กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม, การขายช่อดอกกัญชาต้องได้รับอนุญาตทุกกรณี,, ห้ามขายในวัดและศาสนสถาน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสนุก, ห้ามสูบทำให้เกิดกลิ่นและควันในที่สาธารณะทำให้เกิดความรำคาญ ห้ามขายออนไลน์ ห้ามเร่ขาย ห้ามขายผ่านเครื่องขาย ฯลฯ
ผู้ใดกระทำความผิด เช่น การจำหน่ายหรือให้กับเด็กเยาวชน หรือการลักลอบใส่สารสกัดหรือช่อดอกในอาหาร ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้คุณชูวิทย์ อ้างว่าประกาศกระทรวงสาธารณสุข “คลุมเครือ” จึงบังคับใช้ไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง ได้มีการตรวจ จับ ปรับ พักใช้ใบอนุญาต ริบของกลางจนถึงขั้นมีผู้ถูกดำเนินคดีจนศาลตัดสินจำคุก ถ้ากฎหมายบังคับใช้ไม่ได้จะมีการดำเนินคดีความผิดกับผู้กระทำความผิดได้อย่างไร
พอกฎหมายบังคับใช้ได้จริง ไม่ได้คลุมเครืออย่างที่คุณชูวิทย์ “โกหก” คุณชูวิทย์ก็ “หาเรื่องใหม่” ว่าจับดำเนินคดีได้นิดเดียว
คำถามคือการไม่บังคับกฎหมายเป็นเรื่องของผู้ละเมิดกฎหมายกับผู้ละเว้นการปฏิบัติหหน้าที่ (เช่น ตำรวจ ศุลกากร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น)ไม่ต่างจากปัญหา กฎหมายห้ามพนันออนไลน์ กฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้กระทำความผิดหรือเป็นเพราะประทศไทยพนันออนไลน์เสรี บุหรี่ไฟฟ้าเสรีจริงหรือ
ซึ่งในความเป็นจริง ก็ควรไปดำเนินการให้ตรงประเด็นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงภาคประชาสังคมต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาช่วยกันตรวจสอบและให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่มีกฎหมายควบคุม
เอาจริงๆ แม้แต่กัญชาในช่วงเป็นยาเสพติด ก็มีผู้ป่วยลักลอบใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายหลายล้านคน ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับข้อกล่าวหาว่ากัญชาเสรีเพราะบ้านเมืองไร้กฎหมายควบคุมเช่นกัน
ประการที่สี่ คุณชูวิทย์กำลังทำบาปครั้งใหญ่ ที่รณรงค์ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้เพื่อทำให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีก
เพราะนอกจากงานวิจัยได้พบว่ากัญชาเสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่แล้ว ยังมีประโยชน์ในทางการแพทย์และสุขภาพซึ่งตรงกันข้ามกับเหล้าและบุหรี่ อีกทั้งกัญชายังมีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงได้หลายโรคต่างจากเหล้าและบุหรี่ นอกจากนั้นกัญชายังมีบทบาทในการช่วยลดปัญหายาเสพติดที่รุนแรงอีกด้วย
ในทางตรงกันข้ามคุณชูวิทย์อ้างว่าห่วงเยาวชน แต่กลับสูบบุหรี่ผ่านสื่อซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้งอย่างยิ่ง
โดยปรากฏหลักฐานผ่านผลสำรวจนิด้าโพลระหว่างวันที่ 13-15 มิถุนายน 2565 ระบุว่าประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เคยใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 6.94 หรือ ประมาณ 3.85 ล้านคน
แต่เมื่อพิจารณาจาก ผลการศึกษาติดตามสถานการณ์การใช้และการให้บริการกัญชาทางการแพทย์ระยะที่สองในประเทศไทย ที่รายงานโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) พบว่า ในขณะที่กัญชาเป็นยาเสพติดในปี 2564 นั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมาย โดยใช้กัญชานอกระบบกระทรวงสาธารณสุขมากถึงร้อยละ 94.4 หรือประมาณ 3.6 ล้านคน มีการใช้กัญชารักษาในโรคที่อยู่นอกประกาศกระทรวงสาธารณสุขมากถึงร้อยละ 83 หรือประมาณ 3.2 ล้านคน ซึ่งหมายถึงว่าประชาชนส่วนใหญ่ใช้กัญชารักษาโรคด้วยตัวเองอย่างผิดกฎหมายและไม่ได้จ่ายโดยแพทย์
แต่ถึงกระนั้นประชาชนจำนวนมากที่ใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายที่ผ่านมา ก็ยังได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ใช้กัญชาในประเทศไทยมีอาการป่วยดีขึ้นถึงดีขึ้นมากร้อยละ 93 หรือประมาณ 3.58 ล้านคน และมีผู้ที่ลดหรือเลิกการใช้ยาแผนปัจจุบันมากถึงร้อยละ 58 หรือประมาณ 2.23 ล้านคน
และถ้ากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีก คนเหล่านี้ก็ต้องกลับไปเสี่ยงดวงถูกจับเอาไปติดคุก หรือถูกรีดไถ หรือต้องแอบใช้กัญชาใต้ดินที่มีการปนเปื้อนมาก หรืออาจจะกลัวจนไม่มีโอกาสรักษาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรคตัวเองไม่หาย หรือทำให้ต้องเสียเงินเพื่อหากัญชามารักษามากขึ้นแพงขึ้น หรือต้องป่วยจนคุณภาพชีวิตแย่ลง ทุกข์ทรมาน หรือเสียชีวิตเร็วขึ้น
บาปกรรมหนักนี้จะต้องตกกับคุณชูวิทย์และครอบครัวหรือไม่ ลองดู แต่ผมไม่เชื่อว่าคุณชูวิทย์จะเชื่อเรื่องบาปกรรมมีจริง
เพราะกัญชาสามารถรักษาได้หลายโรค ลดค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพ สร้างความมั่นคงทางยาในครัวเรือน และสามารถดูแลสุขภาพด้วยการพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้นกัญชาจึงไม่ควรกลับไปเป็นยาเสพติดอีก ประชาชนจึงไม่ได้ต้องการกัญชาทางการแพทย์ที่ผูกขาดโดยกลุ่มทุนแพทย์เท่านั้น เพราะประชาชนต้องการ* “กัญชาเสรีทางการแพทย์” เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการพึ่งพาตนเองได้ด้วย
คนที่ใช้กัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองโดยหมอไม่จ่ายไม่ใช่อาชญากร การที่คุณชูวิทย์รณรงค์อ้างว่าจะกลับไปเป็นยาเสพติดแต่อ้างว่ายังสามารถใช้ทางการแพทย์ได้ทั้งๆ ที่แพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา การทำให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คุณชูวิทย์กำลังทำกรรมหนักหรือไม่
วารสารห้องสมุดสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ PLoSOne ได้เผยแพร่ งานวิจัยในมลรัฐในสหรัฐอเมริกาที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย (ทั้งทางการแพทย์และนันทนาการ) ในช่วง 22 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2562 พบว่า “ยอดขายยาโดยรวมลดลง”
โดยกฎหมายที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกาจะส่งผลทำให้ยอดขายต่อปีของผู้ผลิตยา “ลดลง” ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย และยังคาดการณ์อีกด้วยว่า 16 มลรัฐที่เหลือที่ยังไม่ได้ทำให้กัญชาถูกกฎหมายหากทำให้กัญชาถูกกฎหมายแล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายยาแผนปัจจุบันต่างๆ ลดลงไปประมาณร้อยละ 11
เช่นเดียวกับวารสารเศรษฐกิจสุขภาพ Health Economics ฉบับตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 ในการสำรวจการจ่ายยาในมลรัฐของสหรัฐอเมริกาหลังได้ดำเนินการให้ “การนันทนาการเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย” พบว่ามี การลดการจ่ายยาต่างๆ ลง คือประชากรใช้ยาแก้อาการซึมเศร้าลดลงไปร้อยละ 11.1, ประชากรใช้ยาแก้วิตกกังวลลดลงไป 12.2, ประชากรลดการใช้ยาแก้ปวดไปร้อยละ 8, ประชากรลดการใช้ยาโรคลมชักไปร้อยละ 9.5, ประชากรลดยาโรคจิตไปร้อยละ 10.7, ประชากรลดการใช้ยานอนหลับไปร้อยละ 10.8
และนี่คือเหตุผลที่ทำให้แพทย์และเภสัชที่ต่อต้านกัญชาส่วนหนึ่งเพราะมีผลประโยชน์ต่อการที่ประชาชนจะพึ่งพากัญชาด้วยตัวเองได้
ประการที่ห้า คุณชูวิทย์โกหกให้ร้ายว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด ทั้งๆ ที่พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.เพียง 51 คน คิดเป็น 10% ของ ส.ส. 500 คน
คุณชูวิทย์ควรจะเลิกหลอกประชาชนได้แล้ว เพราะความจริงทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลมีส่วนในการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดทั้งสิ้น
พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย ฯลฯ ได้เคยส่งตัวแทนของพรรคตัวเองเข้าไปทำการศึกษาในคณะกรรมาธิการวิสามัญฯของสภาผู้แทนราษฎร แล้วสรุปมาเป็นผลการศึกษาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร (โดยผู้แทนพรรคเพื่อไทยเป็นถึงประธานอนุกรรมาธิการกัญชาด้วย) สรุปเอาไว้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 ว่าเห็นควรให้ปลดล็อกกัญชา กัญชง และกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดทุกประเภท และให้ควบคุมโดยใช้เพียงกฎหมายลำดับรอง เช่น ประกาศหรือระเบียบกระทรวงสาธารณสุข
หากคุณชูวิทย์ไม่เห็นด้วยทำไมคุณชูวิทย์ไม่กล่าวถึงพรรคการเมืองอื่น นอกจากพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว
24 สิงหาคม 2564 พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชาติ และพรรคก้าวไกล ยังได้เคยลงมติเห็นชอบเป็นมติรัฐสภาอย่างท่วมท้นในประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่ไม่ระบุชื่อกัญชา และกระท่อม เป็นตัวอย่างยาเสพติดประเภทใดๆ ทั้งสิ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
คุณชูวิทย์ทำไมถึงตำหนิแต่พรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว
25 มกราคม 2565 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่แทน ซึ่งในคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้มีผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขเพียง 4 คนจาก 34 คน (มีรัฐมนตรีและปลัดหลายกระทรวง รวมถึงทุกเหล่าทัพ) ได้ลงมติเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 เห็นชอบให้ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด โดยไม่มีเสียงคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว
ทำไมคุณชูวิทย์โจมตีเฉพาะพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว พรรคอื่นหายไปจากสายตาคุณชูวิทย์ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข เป็นเสียงที่มีสัดส่วนน้อยมากในคณะกรรมการ ป.ป.ส.
พรรคภูมิใจไทยจึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการปลดล็อกกัญชา การให้ร้ายของคุณชูวิทย์จึงเป็นเท็จทั้งสิ้น สิ่งที่คุณชูวิทย์พูดยังไงก็ผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้คุณชูวิทย์ถึงได้เลี่ยงเป็นคำอื่นว่า “พรรคบ้ากัญชา” แทนในโปสเตอร์แทนคำว่า “พรรคภูมิใจไทย” เพราะคิดว่าเป็นการเลี่ยงกฎหมายในการโกหกใช่หรือไม่?
แต่การกล่าวโกหก พูดความเท็จหรือใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งมีบทลงโทษทางอาญามากกว่ากฎหมายทั่วไป และกฎแห่งกรรมกำลังไล่ล่าคุณชูวิทย์อีกครั้ง และอาจเป็นผลทำให้กลับไปในคุกอีกครั้งตามแนวทางของโจรที่ควรจะเป็นก็ได้
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ฯลฯ ได้ลงมติเห็นชอบกับ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของพรรคภูมิใจไทยอย่างท่วมท้นถึงร้อยละ 92 โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ระบุถึงเหตุผลเอาไว้ว่าเพราะประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกต่อไป พรรคการเมืองที่ได้ลงมติเห็นชอบในวาระรับหลักการนี้ ย่อมทราบแล้วว่าที่จำเป็นต้องมีกฎหมายพ.ร.บ. กัญชา กัญชง เพราะกัญชานั้นไม่ได้เป็นยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดตามมติของรัฐสภาแล้ว
ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯเพื่อพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกัญชา กัญชง จำนวน 25 คนจาก 8 พรรคการเมือง ซึ่งรวมถึงตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีรวมไทยฯลฯ เพื่อทำให้กฎหมายมีการควบคุมอย่างรัดกุมขึ้นเทียบเคียงกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล การควบคุมยาสูบ และการควบคุมพืชกระท่อม เป็นผลทำให้เพิ่มบทบัญญัติจาก 45 มาตรา มาเป็น 95 มาตรา จนเป็นที่ยุติและนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2
แต่แทนที่พรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรจะได้ช่วยกันเร่งพิจารณา พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ของคณะกรรมาธิการฯให้แล้วเสร็จ กลับใช้วิธีไม่เข้าประชุมเพื่อทำให้องค์ประชุมไม่ครบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะมีวาระซ่อนเร้นเพื่อทำให้ไม่มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติในการควบคุมกัญชา กัญชง ทั้งระบบใช่หรือไม่
โดยปรากฏเป็นหลักฐานในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 3 ครั้งสุดท้าย พบว่าค่าเฉลี่ยของการไม่เข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเช่น ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่เข้าประชุมร้อยละ 81.20, ส.ส.พรรคประชาชาติไม่เข้าประชุมร้อยละ 95.23, ส.ส.พรรคเสรีรวมไทยไม่เข้าประชุมร้อยละ 60, ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าประชุมร้อยละ 52.87, ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนาไม่เข้าประชุมร้อยละ 50 จนกระทั่งสภาผู้แทนราษฎรหมดวาระและไม่สามารถพิจารณากฎหมายให้เสร็จทันได้
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงอ้างว่าไม่ต้องการกัญชาเสรี แต่ในความเป็นจริงนักการเมืองเหล่านี้ในขณะที่เป็น ส.ส. กลับไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ให้ความร่วมมือที่จะเร่งให้มีกฎหมายเพื่อควบคุมกัญชาทั้งระบบเสียเองใช่หรือไม่พฤติการณ์ที่ย้อนแย้งเช่นนี้ย่อมถูกตั้งคำถามเป็นข้อสงสัยว่านักการเมืองเหล่านี้หวังผลให้กัญชาเสรีเพื่อใช้ในการโจมตีทางการเมืองในระหว่างการเลือกตั้งโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชนใช่หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นบางพรรคการเมืองที่หาเสียงอ้างว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดนั้น ล้วนเป็นการหาเสียงที่ไร้ความรับผิดชอบ ขัดแย้งกับการกระทำของพรรคตัวเองที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น คุณชูวิทย์ต่างหากทำไมไม่ไปทวงพรรคการเมืองที่ไม่เข้าประชุมสภาพ เตะถ่วงกฎหมายให้ในการควบคุมแล้วเสร็จ
เรื่องที่สอง ที่ดินสวนชูวิทย์
ส่วนเรื่องที่ดินสวนชูวิทย์ ผมและคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ยื่นหนังสือ ต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้องในการปล่อยปละละเลยทำให้เกิดการรื้อทำลายสวนชูวิทย์และปล่อยให้มีการก่อสร้างอาคารสูงเพื่อทำธุรกิจแทน ซึ่งพวกผมมั่นใจว่าสวนชูวิทย์แห่งนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว
คุณสนธิได้ให้เวลาทางกรุงเทพมหานครในการแก้ไขและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 60 วัน เมื่อไม่มีอะไรคืบหน้าก็ให้ ป.ป.ช. ทำการไต่ส่วนพนักงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
คุณสนธิและผมได้แนบคำพิพากษาศาลฎีกาเอาไว้ถึง 14 ฉบับเพื่อยืนยันว่าการที่คุณชูวิทย์ลั่นวาจา หรือยื่นคำแถลงต่อศาลฎีกาว่าให้สวนชูวิทย์เป็นสวนสาธารณะและจะทำต่อไปและไม่ทำธุรกิจอีกเพื่อเป็นเหตุบรรเทาโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปีนั้นเพียงพอที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ไม่ว่าจะมีการจดทะเบียนหรือไม่ก็ตาม
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของข้อกฎหมายล้วนๆ และถ้าสวนชูวิทย์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่ผมดำเนินการเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล ถ้าคุณชูวิทย์มั่นใจก็ควรเดินหน้าก่อสร้างต่อไปไม่ต้องสนใจพวกผมเลยครับ
เพราะเรื่องนี้พวกผมไม่ได้เป็นคนตัดสิน ถ้ามันจะเป็นของคุณชูวิทย์มันก็จะต้องเป็นของคุณชูวิทย์อยู่วันยังค่ำ ถ้ามันจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมันก็ต้องนำคืนกลับมาสู่แผ่นดิน ซึ่งคดีนี้จะจบกันที่การตัดสินของศาลในที่สุดอย่างแน่นอน
ข้อสำคัญเลิกอ้างว่าชาวสุขุมวิทจะปกป้องคุณชูวิทย์ เพราถ้าพวกผมสามารถทวงคืนสวนชูวิทย์ให้กลับมาเป็นปอดของกรุงเทพมหานคร หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ชาวสุขุมวิทและคนกรุงเทพมานครน่าจะยืนข้างคุณชูวิทย์มากกว่า จริงหรือไม่
ผมยังรอท้าดีเบตกับคุณชูวิทย์เรื่องกัญชาอยู่นะครับ จะเอาเรื่องสวนชูวิทย์ด้วยก็ได้นะครับ กล้าๆ หน่อยครับ
คุณชูวิทย์อาจไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม แต่ผมเชื่อว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง และมันกำลังทำงานในร่างกายและจิตใจของคุณชูวิทย์และครอบครัวต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์