“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“พ่อ-แม่” ล้วน “รักห่วงใย” ลูกทุกคนเสมอ! ไม่ต่างจากที่ “สมเด็จย่า” ทรงรักห่วงใย “ในหลวงรัชกาลที่ 9”!
“สมเด็จย่า” ที่ปวงชนชาวไทยรักและเคารพเทิดทูน ทรงรักห่วงใย ทรงพร่ำสอน “ลูกหลาน” โดยเฉพาะ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” กับชาวไทย..
ขอน้อมนำคำสอนอันทรงคุณค่า มาให้ใคร่ครวญกันดังนี้..
“..ในครอบครัวของเรา (ความรับผิดชอบ) เป็นของที่ไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สอนอันแรก คือ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจะไปช่วยเมืองไทยได้อย่างไร ทุกอย่างออกมา จากนั้นถ้าจะเอาหลักการ ต้องเป็นคนดี นี่คือหลักการ เพื่อจะช่วยอะไรได้ สิ่งเหล่านี้ ฉันเป็นคนพูดออกมา..”
“..มีความตั้งใจอย่างเดียว เพื่อจะทำสิ่งที่ดีให้ประเทศ เพราะฉะนั้น คือ “ต้องให้เป็นคนดี” แม่ไม่ใช้คำมาก คือ ต้องเป็นคนดี”
“..จำไว้นะ อิสสา คือริษยา เป็นตัวการที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย และทำให้เสื่อมได้ เพราะฉะนั้น ให้ละเว้นอย่าให้มีอิจฉา หรือริษยาได้..”
นั่นเป็นคำสอนส่วนหนึ่งของ “สมเด็จย่า” ในหนังสือ “เรียนรู้คำสอนแม่ฟ้าหลวง” สนง.ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นอกจากนั้น “ย่าของแผ่นดิน” ยังทรงสอนสั่ง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” กับปวงชนชาวไทยอีกว่า..
“..คนเราต้องรู้จักบังคับตนเอง ถ้าปล่อยตามบุญกรรมก็จะไม่เจริญ ดังเช่นการเลี้ยงเด็ก ต้องกำหนดเวลานอน เวลาเรียน เวลารับประทานอาหาร เวลาพักผ่อน ทุกอย่างต้องให้เป็นไปตามเวลา ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะไม่เจริญ เติบโต ไม่มีสติปัญญา..”
“..ทุกอย่างที่ทำต้องตามเวลา ต้องตรงเวลา และเวลาที่จะทำอะไรก็ต้องทำ ไม่ใช่ไปไถลเล่น ไปทำโน่นทำนี่ และเรื่องการรับประทานก็ต้องเป็นเวลาเหมือนกัน ต้องมีระเบียบในด้านนี้..”
“สมเด็จย่า” ทรงเน้นอยู่เสมอว่า ต้อง “คิด” ต้อง “ทำ” ให้เป็นธรรมชาติ นั่นคือ นอกจากต้องทำเพื่อครอบครัวแล้ว ยังต้อง “คิด” และ “ทำ” เพื่อชาติกับประชาชน ที่สำคัญต้องทำอย่างรับผิดชอบ ด้วยความมีระเบียบวินัยและด้วยคุณงามความดี อีกทั้งยังทรงนำธรรมชาติมาเปรียบเทียบด้วยว่า..
“ต้นไม้นี่มันคล้ายๆ คน ต้นบานชื่นนี่ฉันไม่ได้ปลูกด้วยเมล็ด แต่ไปซื้อต้นเล็กๆ ที่เขาเพาะแล้วมาปลูก แต่มันก็งามและแข็งแรงดี เพราะอะไรหรือ เพราะคนที่เขาขายนั้นเขารู้จักเลือกเมล็ดที่ดี และดินที่เขาใช้เพาะก็ดีด้วย นอกจากนั้นเขายังรู้วิธีว่า จะเพาะอย่างไร ซึ่งฉันไม่สามารถทำได้เช่นเขา เมื่อฉันเอามาปลูก ฉันต้องดูแลใส่ปุ๋ยเสมอ เพราะดินที่นี่ไม่ดี (ที่นี่ หมายถึง พระตำหนักวิลล่าวัฒนา เมืองพุยยี่ สวิตเซอร์แลนด์) ต้องคอยรดน้ำพรวนดินบ่อยๆ ต้องเอาหญ้าและต้นไม้ที่ไม่ดีออก เด็ดดอกใบที่เสียๆทิ้ง คนเราก็เหมือนกัน ถ้าพันธุ์ดี เมื่อเป็นเด็กก็แข็งแรง ฉลาด เมื่อพ่อแม่คอยสั่งสอน เด็กคนนั้นก็จะเป็นคนที่เจริญ และดีเหมือนกับต้นและดอกบานชื่นเหล่านั้น”
นั่นเป็นคำสอนล้ำค่าส่วนหนึ่งของ “สมเด็จย่า” จากหนังสือ “ดั่งสายธาร ศรีนครินทร์แห่งแผ่นดิน” และจากหนังสือเล่มเดียวกันยังมีเรื่องของ “สิทธิเสรีภาพ” ชวนให้ปวงชนชาวไทยได้ไตร่ตรอง..
“ทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะกระทำสิ่งใดๆ ก็ได้จริง แต่บางสิ่งบางอย่างเราอาจจะทำได้เมื่ออยู่ตามลำพัง และบางสิ่งบางอย่างก็กระทำไม่ได้ เพราะจะต้องคำนึงถึงและเคารพในสิทธิของผู้อื่นเสมอ"
“ต้องรู้จักทำตามสมควร ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ ความสมควร ความเหมาะสม ความพอดี เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ศึกษา ให้รู้ว่าเป็นอย่างไร ศึกษาได้โดยจิตที่มีสมาธิ ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง”
จากหนังสือ “พระมามลายโศกหล้า เหลือสุข” ทรงสอนสั่งให้ต้องฉลาด มิฉะนั้นจะตกเป็น “เหยื่อคนเล่ห์ร้าย”!
ใช่เลย! เพราะ “คนไทยจำนวนหนึ่ง” มักอ้างถึง “สิทธิเสรีภาพ” ของ “ตน” กับ “พรรคพวก” ยึดเป็นสรณะ จนมองข้าม “สิทธิเสรีภาพคนอื่น” หรือของ “ชาติ” กับ“ประชาชน”! ด้วยยึดแต่ “สิทธิเสรีภาพ” ของ “ตน” กับ “พวกพ้อง” ว่า “ถูกต้อง” เท่านั้น!
เรียกว่า.. เรื่องของ “กู-พวกกู” ล้วนเป็นเรื่องของ “พระเจ้าแห่งความถูกต้อง” จนนำไปสู่เหตุการณ์บานปลาย สร้าง “ความแตกแยก” ภายในชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยปริยาย.. เฉกเช่นหลายเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย..?
“ความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้นด้วยตัวเราเอง ถ้าเปรียบเทียบตนเองกับคนที่มีมากกว่า เราจะรู้สึกด้อย ถ้าเทียบกับที่ด้อยกว่า เราก็ดูมีมาก ดังนั้นถ้าไม่รู้จักพอ มีเท่าไรก็ไม่อาจพอได้”
คำสอนตรงไปตรงมาของ “สมเด็จย่า” จากหนังสือ “ดั่งสายธาร ศรีนครินทร์แห่งแผ่นดิน”
อืม..อดนึกถึง “ความไม่รู้จักพอในอำนาจ” ที่ต่อยอดไปถึง “เงินทอง-ทรัพย์สิน” มากมาย ซึ่งบรรดา “นักการเมือง-นักวิชาการบางกลุ่ม” ซึ่งแอบสมคบกับ “รัฐต่างชาติบางแห่ง” ใช้เล่ห์ร้ายบิดเบือนอย่างผิดๆ ด้วยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน โกหกหลอกลวง “กลุ่มเยาวชน” และ “คนบางกลุ่ม” ให้หลงเชื่อหลงผิด ออกมาเคลื่อนไหวทำผิดกฎหมาย ให้ร้ายป้ายสี “สถาบันสำคัญของชาติ” หวังจ ะ“ปฏิวัติ” ให้ “สถาบันสำคัญของชาติ” ล้มครืนลง ฯลฯ
น่าเศร้า! “กลุ่มเยาวชน” กับ “ผู้คน”จำนวนไม่น้อย จึงต้อง “หนีคดีความ” และบ้างก็ “ติดคุก” กันระนาว..!
“เมตตา” คือสายธารอันยิ่งใหญ่แห่งจิตใจ“สมเด็จย่าของแผ่นดิน” พระองค์จึงมีพระราชดำรัสชวนคิดว่า..
“อย่าลืมว่า แต่ละคนมีความดีบริสุทธิ์ไม่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถึงแม้จะมีบกพร่องอะไรบ้างก็ต้องยอมรับ นี่คือสภาพของคนปกติ บริสุทธิ์สมบูรณ์ ดีพร้อม มีแต่ธรรมะ คนจริงๆแล้วต้องมีข้อไม่ดีอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นขอให้มองกันในแง่ดี แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี”
“ขอให้มองในแง่ดี” เป็นอีกหนึ่งในสาระสำคัญของคำสอน “สมเด็จย่า” จากหนังสือ “ดั่งสายธาร ศรีนครินทร์แห่งแผ่นดิน” ทรงสอนให้ใช้ “เหตุผล” มิใช่ใช้อารมณ์ชั่ววูบ ต้องเข้าถึง-เข้าใจ-เข้าถึง “ต้นเหตุปัญหา” มิติต่างๆ และต้องแก้ที่ “ต้นเหตุปัญหา” จึงจะแก้ไขได้ ฯลฯ
“การรู้จักแยกแยะความดี ความเลว ความถูกต้องเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญมาก การมีชีวิตอยู่ในโลกได้ และประสบความสำเร็จนั้น ต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้องด้วย” และ “จงมีความนึกคิดและปฏิบัติในทางที่ดี ที่ถูก ที่เหมาะสมอยู่เสมอ”
นั่นเป็นสิ่งที่“สมเด็จย่า”พร่ำสอนเสมอ จากตอนหนึ่งในหนังสือ “พระมามลายโศกหล้า เหลือสุข”
คำสอนชนิดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของ “สมเด็จย่า” ที่กระตุกให้ “คิดดี” และ “ทำดี” ให้เป็น “คนดี” แก้ที่ “ต้นเหตุปัญหา” หรือ “แก่นแท้” ไม่พ้นพระราชดำรัสดังต่อไปนี้ จึงขออัญเชิญมาให้อ่านซ้ำอีกครั้ง..นั่นคือ
“..คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ แต่พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม..”
“คำถาม” คือ “อดีตนายกฯ เหลี่ยม” เป็น “คนดี” ตรงตามนิยามของ “สมเด็จย่า” หรือไม่?-ไม่เลย..!
“คำถาม” คือ “นายกฯ ตู่” เป็น “คนดี” ตรงตามนิยามของ “สมเด็จย่า” หรือไม่?-ไม่เลยเช่นกัน!?
“คำตอบของผม”ไม่ต่างจากคำตอบของคนในชาติไทยว่ะ!
เฮ้อ!..“ตระบัดสัตย์” เรื่อง “รวยแล้วจะไม่โกงชาติ” ของมหาเศรษฐี “อดีตนายกฯ เหลี่ยม” ผู้โกงชาติมิรู้จักพอและบังอาจล้มเจ้า จึงมิใช่ “คนดี” ของ “สมเด็จย่า”!
ส่วนชายชาติทหาร “ตู่” ที่เป็นถึง “นายกฯ” กับ “เผด็จการรัฐประหาร” มีมาตรา 44 ในกำมือ และ “สืบทอดอำนาจ” ต่อเนื่องนานถึง “เกือบ 9 ปี”! ทว่า “นายกฯ ตู่” จงใจไม่ “ปฏิรูปชาติใดๆ” ทั้งสิ้น..
เลือกตั้งครั้งที่สอง ในยุค “นายกฯ ตู่” วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ โดยไม่มีการปฏิรูปเรื่องหลักๆ ให้ประชาชนประจักษ์เลยสักเรื่อง การโกหกหลอกลวงคนไทยด้วย“คำพูดดื้อๆ” บ่งชี้ว่า “นายกฯ ตู่” มิใช่ “คนดี” ดัง “สมเด็จย่า” ทรงสอนประชาชนให้รู้จักพิเคราะห์ว่า “คนดี” ต้อง “คิดดี” ต้อง “ทำดี” เช่นใด..จริงไหม?
เฮ้อ!.. อดีตนายกฯเลือกตั้ง“เหลี่ยม” และ นายกฯรัฐประหารกับสืบทอดอำนาจ“ตู่” ทั้งคู่ล้วนมิใช่“คนดี”ดังควร ตามที่“สมเด็จย่า”ทรงเผยไว้..
“..คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ แต่พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม..”