xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา...แพ้แล้ว!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



การเติบโต ขยายตัวของตัวเลขจีดีพีช่วงไตรมาสแรกของมหาอำนาจคู่แข่งคุณพ่ออเมริกา อย่างพญามังกรจีนปีนี้...เห็นว่า ปาเข้าไปถึง 4.5 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! ส่วนจะโตโยต้า หรือโตมิโตซัดดะ ด้วยเหตุปัจจัย ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...งานนี้ ต้องเรียกว่า...ถือเป็นการ “หักปากกาเซียน” ชนิดเซียนอยู่รู-หมูอยู่ตึกกันเห็นๆ!!!

ด้วยเหตุเพราะก่อนหน้านั้น...บรรดาเซียนๆ โดยเฉพาะเซียนในโลกตะวันตก ไม่ว่าจะนักวิเคราะห์เศรษฐกิจแห่งนิตยสาร “Forbes” แห่งหนังสือพิมพ์ “The New York Times” หรือแม้แต่พวก “Think-Tank” นักคิด นักวิเคราะห์ แห่งสถาบัน “The American Enterprise” อันประกอบไปด้วยพวก “ขวาใหม่” หรือ “Neoconservative” ทั้งหลาย ฯลฯ ต่างเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกัน นั่นคือเห็นว่า “ยุคแห่งการเติบโตแบบมหัศจรรย์” ของคุณพี่จีนนั้น ได้สิ้นสุด ยุติ ลงไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว หรือ “The End of the Chinese Economic Miracle” ดังที่สถาบันดังกล่าวได้ยืนหยัด ยืนยัน ไว้ในข้อเขียน บทความล่าสุด เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว...

แต่ทั้งๆ ที่เจอกับโควิด เจอกับสงครามการค้า การเทคโนโลยี เจอกับความปั่นป่วนรวนเรของมาตรการแซงชั่นรัสเซียโดยโลกตะวันตก ชนิดเล่นเอาระส่ำระสายกันไปทั้งโลก ตัวเลขจีดีพีของจีน ที่กะๆ กันว่าน่าจะไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจต่ำไปกว่านั้น กลับทะลุพรวดๆ พราดๆ ไปถึง 4 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ แถมมีแนวโน้มค่อนข้างสูงว่าอาจปาเข้าไปถึง 6 เปอร์เซ็นต์ช่วงตลอดทั้งปีเอาเลยก็ไม่แน่!!! ยิ่งเศรษฐกิจของมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายของคุณพ่ออเมริกา นั่นคือคุณน้ารัสเซีย ที่ใครต่อใครแม้แต่ผู้นำอเมริกาอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” คาดว่า “เจ๊ง” แน่ๆ เงินรูเบิลจะกลายเป็นเศษหิน เศษดิน ประเทศชาติและระบอบปกครอง “ปูติน” ต้องถึงกาลล่มสลายในอีกไม่นาน-ไม่ช้า แต่ไม่เพียงค่าเงินรูเบิลกลับแข็งโป๊ก ยิ่งกว่าเมื่อก่อนคิดบุกยูเครน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์อเมริกัน ตัวเลข “เงินเฟ้อ” ในรัสเซียคราวล่าสุด เมื่อช่วงเดือนเมษายนนี่เอง ที่ได้รับการป่าวประกาศโดยกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจ เห็นว่า...ลดลงเหลือแค่ 2 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ (2.82 เปอร์เซ็นต์) ขณะที่บรรดาผู้ที่รวมหัว รวมตัว รุมกินโต๊ะหมีขาวตัวนี้ ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาหรือพันธมิตรอียู-อีย้วย ต่างต้องเจอกับตัวเลขเงินเฟ้อระดับ 5 เปอร์เซ็นต์ 7 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยก็ยังมี...

ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้ แทนที่จะไปเสียเวลาวิเคราะห์ เจาะลึก กันในเรื่องใครแพ้-ใครชนะในแนวรบยุโรปตะวันออกใครยึดบัคมุต ใครจะยึดไครเมีย ใครเปลี่ยนข้าง-ไม่เปลี่ยนข้างในแนวรบตะวันออกกลาง หรือใครบุก-ใครไม่บุกไต้หวันในแนวรบทะเลจีนใต้กันตอนไหน? เมื่อไหร่? สู้หันไปสำรวจ ตรวจสอบ ว่า “ใครจะเจ๊ง-ไม่เจ๊ง” ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ต่างกำลังผันผวน ปรวนแปร ระส่ำระสายกันไปทั่วทั้งโลก น่าจะเหมาะกว่า เข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ เพราะอาจถือเป็น “คำตอบ” ของคำถามแต่ละคำถาม หรือถือเป็นมอง “ภาพรวม” แบบ “มองป่าทั้งป่า” โดยไม่ต้องเสียเวลามาพลิกใบไม้แต่ละใบ ให้ต้องปวดหัว เวียนเฮด โดยใช่เหตุ...

โดยเฉพาะ “เศรษฐกิจอเมริกา” มหาอำนาจสูงสุดที่เพียรพยายามดำรง รักษา ความเป็น “ประมุขโลก” ให้มั่นคง ยั่งยืนต่อไปให้จงได้ พยายามเตะตัดขาคุณพี่จีน และรุมกระทืบรัสเซีย ร่วมกับบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่มาถึงช่วงนี้ ระยะนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า แนวโน้มแห่งการ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ยิ่งเห็นได้ถนัดตา ถนัดชัดเจน ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะฟังจากชาวโลก หรือชาวอเมริกันเอง ต่างเป็นไปในแนวเดียวกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความหนัก-ความเบา หรือขึ้นอยู่กับ “จุดยืน” ของใคร-ของมัน อย่างเช่น ถ้าฟังจากคู่แข่ง-คู่กัด คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของคุณปู่ “โจ ไบเดน” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ไปพูดจา หาเสียง ที่สมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association) เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ถึงกับสรุปไว้ว่า “ถือเป็นช่วง...อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! หรือ “สหรัฐฯ กำลังยุ่งเหยิง...เศรษฐกิจของเรากำลังล่มสลาย เงินเฟ้อไม่อยู่ภายใต้การควบคุม ดอลลาร์กำลังพังครืน อีกไม่นานสกุลเงินของเราจะไม่ได้ถือเป็นมาตรฐานโลกอีกต่อไปแล้ว และนั่นเท่ากับถือเป็นการ...พ่ายแพ้...ครั้งใหญ่ของชาวอเมริกันในรอบ 200 ปีที่ผ่านมา” นี่...หนักหนา-สาหัสกันไปถึงขั้นนั้น...

จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ลองไปแยกแยะเอาเองก็แล้วกัน แต่เอาเป็นว่าแม้แต่รัฐมนตรีคลังของคุณปู่ “โจ ไบเดน” อย่าง “นางJanet Yellen” ยังมิอาจปฏิเสธด้วยการออกมายอมรับ ว่าด้วยเหตุเพราะการแซงชั่นรัสเซียและศัตรูคู่กัดของอเมริกาทั้งหลาย ได้ส่งผลให้สถานะของเงินดอลลาร์อเมริกัน “อ่อนแอ” ลงไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะโดยตัวเลข สถิติ ที่มิอาจเถียง มิอาจตะแบงไปในด้านหนึ่ง-ด้านใด ย่อมถือเป็นหลักฐาน ข้อพิสูจน์ อย่างชนิดตรงไป-ตรงมา คือจากสถานะของเงินดอลลาร์ที่ถูกนำมาใช้เป็นทุนสำรองของประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์นับแต่ปี ค.ศ. 1977 แต่มา ณ บัดนี้ กลับเป็นอะไรที่ “ใครๆ ก็ไม่รักผม...แม้พัดลมยังส่ายหน้าเลย” คือลดลงเหลือเพียงแค่ 59 เปอร์เซ็นต์ แถมยังก่อให้เกิด “แนวโน้ม” แห่งการ “De-Dollarization” กันไปแทบจะทั่วทั้งโลก ไม่ว่ากรณีบราซิลหันไปค้า-ขายกับจีนด้วยเงินสกุลท้องถิ่น อินโดนีเซียกับมาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา เตรียมซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนด้วยเงินสกุลท้องถิ่นนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป อินเดียกับมาเลเซีย รัสเซีย อิหร่าน ยูเออี ฯลฯ หันมาใช้เงินรูปี เงินรูเบิล เงินเดอร์แฮม ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกันแทนที่ ด้วยเหตุเพราะ “Dollarization” มันถูกทำให้กลายเป็น “Weaponization” หรือด้วยเหตุเพราะความ “ถดถอย” ของเศรษฐกิจอเมริกัน เพราะ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่ยังสูงชนิดควบคุมแทบไม่ได้ เพราะ “หนี้สาธารณะ” อเมริกาที่ทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ยิ่งเข้าไปทุกที หรือเพราะภาวะ “แบงก์เจ๊ง” อย่างเป็นระนาว ระเนนระนาด อยู่ในทุกวันนี้ ฯลฯ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...

ไม่ต่างไปจากบรรดา “กูรู-กูรู้” ในแต่ละราย ไม่ว่า “Stephen Jen” ซีอีโอของ “Eurizon” ที่ออกมาฟันธงและฟันเฟิร์มว่าเงินยูเอสดอลลาร์หมดสภาพแห่งการเป็นเงินตราสกุลหลักของโลกไปเรียบร้อยแล้ว “Jamie Dimon” หัวหน้าคณะผู้บริหารของ “JPMorgan Chase” ที่เชื่อว่าเศรษฐกิจอเมริกันเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” โดยไม่ต้องเสียเวลาเถียงกันไป-เถียงกันมาอีกต่อไป “Gregory Daco” หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ “EY Parthenon” ที่กล้าป่าวประกาศว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และที่น่าสยองขวัญ สั่นประสาท ยิ่งไปกว่านั้น ก็เห็นจะเป็น “นายHarry Dent” เจ้าของจดหมายข่าวการเงิน ประธานและผู้ก่อตั้ง “The Dent Research and Director” และ “HS Dent Investment” ผู้เขียนหนังสือขายดีเรื่อง “The Great Depression Ahead” ที่ออกมาสร้างความขนหัวลุก ขนคอตั้ง ด้วยการทำนายทายทักว่าความพังพินาศทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์อเมริกัน หรือครั้งที่คนในยุคสหัสวรรษไม่เคยพบเห็นมาก่อน กำลังจะมาถึงในช่วงฤดูร้อนปีนี้ อันจะส่งผลให้ตลาดหุ้นอย่าง “S&P” จะพังไม่ต่ำกว่า 86 เปอร์เซ็นต์ “Nasdaq” จะแกว่งถึง 92 เปอร์เซ็นต์ เงิน “Crypto” จะควงสว่าน ชนิดมูลค่าเหรียญ “Bitcoin” จะหกคะเมนตีลังกาถึง 95-96 เปอร์เซ็นต์ จากมูลค่าสูงสุด 69,000 ดอลลาร์เมื่อช่วงพฤศจิกายน ค.ศ. 2021 เหลือเพียงแค่ 3-4,000 ดอลลาร์เท่านั้น หรือจะเป็นความพังพินาศหนักเสียยิ่งกว่ายุค “The Great Depression” หรือช่วงปี ค.ศ. 1929-1932 เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องรอไปเปิดถ้วยไฮโลเอาเองก็แล้วกัน เพราะแม้แต่อดีตนักเศรษฐศาสตร์ “Goldman Sachs” ผู้เคยทำนายทายทัก วิเคราะห์การขึ้นๆ-ลงๆ ของภาวะเศรษฐกิจเท่าที่ผ่านมาแบบชนิดแม่นยำราวตาเห็น อย่าง “นาย Charles Nenner” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาสารภาพเอาไว้ว่า...“ผมไม่ได้ต้องการให้ชาวอเมริกันทั้งหลายเกิดความหดหู่ใจ แต่สิ่งที่ทำให้ผมอดวิตกขึ้นมาไม่ได้ ก็คือเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างชี้ชัดลงไปแล้วว่า เราชาวอเมริกันไม่ได้มีขีดความสามารถที่จะปกครองโลกได้อีกต่อไป แม้ว่ารัฐบาลของเรายังคิดว่าเขาจะดำรงสถานะเหล่านี้ได้เช่นเดิม ยังสามารถบอกให้ประเทศต่างๆ ทำอะไรต่อมิอะไรต่อไปได้ แต่โดยทางกายภาพแล้ว ประเทศของเรากำลังตกอยู่ในอันตราย ขณะที่รัฐบาลดูเหมือนยังไม่ได้เข้าใจต่อสิ่งเหล่านี้ เศรษฐกิจของเราย่ำแย่ไปแล้วจริงๆ โดยถ้าหากสถานะของเงินดอลลาร์ยังคงต้องตกต่ำยิ่งไปกว่านี้ ก็อย่าไปตั้งความหวังกับความคิดโง่ๆ ว่าอาจทำให้การส่งออกดีขึ้น เพราะในระยะยาวแล้ว นั่นก็คือจักรวรรดิอเมริกันของเรา...กำลังใกล้ถึงกาลอวสานนั่นเอง!!!”

พูดง่ายๆ ว่า...มาถึง ณ ขณะนี้ แทบไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบว่าใครจะเจ๊ง-ไม่เจ๊ง เพราะขณะที่เศรษฐกิจมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ผู้หวังจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนระเบียบโลก ยังพอตั้งหลัก ตั้งลำ ได้มั่ง แต่สำหรับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาผู้เพียรพยายามดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ความเป็นประมุขโลกต่อไปให้จงได้ เหลือแต่เพียงแค่ต้องรอดู รอเปิดถ้วยไฮโล ว่าสุดท้ายแล้ว...จะเจ๊งแบบฮาร์ด แลนดิ้ง หรือแบบซอฟท์ แลนดิ้ง เท่านั้นเอง!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น