xs
xsm
sm
md
lg

พลังแห่งสันติภาพกับการ“เปลี่ยนโลก!!!”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล
ไหนๆ ก็ได้ว่ากันถึงเรื่องราว “สงครามและสันติภาพ” เฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลางไปเมื่อช่วงเปิดฉากสัปดาห์ที่ผ่านมา ปิดท้ายวันนี้...เลยคงต้องขออนุญาตสืบสาน ต่อยอด นำเอาความเคลื่อนไหวของสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” ในระดับโลก ที่พอรับรู้ได้ สัมผัสได้ มาเล่าแจ้งแถลงไข ให้พอเป็นที่ชื่นมื่น ชื่นใจ สำหรับผู้ที่ยังพอหลงเหลือความหวัง ความตั้งใจ ในแง่ “บวก” แม้นเหตุการณ์ความเป็นไปของโลกมันจะ “ทุรหวนปั่นป่วนคลั่ง” หนักไปถึงขั้นไหนๆ ก็แล้วแต่...

โดยเฉพาะช่วงที่ผู้นำชาติอันดับ 1 ของภูมิภาคละตินอเมริกา อย่างท่านประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ของประเทศแซมบ้า-บราซิล ท่านมีกำหนดการเดินทางไปเยือนประเทศจีนเป็นครั้งที่ 5 และพยายามแสดงออกถึงอะไรต่อมิอะไรชนิดที่ทำให้สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เขาถึงกับตั้งความหวัง ความมุ่งมั่นไว้ถึงขั้นว่า... “โลกกำลังจะได้เป็นประจักษ์พยานถึง...พลังแห่งสันติภาพ” (World will witness power of peace, Development during Lula’s China visit) เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อย...คงต้องลองหันมาสำรวจตรวจสอบเอาไว้มั่งเหมือนกัน สำหรับบรรดาผู้ที่ยังเพียรพยาม “มองโลกในแง่ดี” เข้าไว้...

คือการขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 3 ของผู้นำทางการเมืองที่ถูกกลั่น ถูกแกล้ง ถูกติดคุก-ติดตะราง เพราะการต่อสู้กับความไม่ถูก-ไม่ต้องมาแทบตลอดทั้งชีวิต อย่าง “นายLula da Silva” คราวนี้ ดูๆ ท่านออกจะคึกๆ คักๆ อย่างเป็นพิเศษ เรียกว่า...ไม่ได้แค่คิดจะสู้กับความไม่ถูกต้อง-เป็นธรรมภายในประเทศตัวเอง ภายในภูมิภาคละตินอเมริกาที่ถูกแปรสภาพให้กลายไปเป็น “สวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกามานานแล้ว แต่ด้วยสถานะความเป็นประเทศอันดับ 1 ในละตินอเมริกาด้วยจำนวนประชากรที่ไม่น้อยกว่า 200 ล้านคนขึ้นไป ท่านยังคิดที่จะสู้กับความไม่ถูกต้อง-เป็นธรรมในระดับโลก หรือคิดที่จะ “Make Brazil a global player” ดังคำประกาศในระหว่างพิธีสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวอีกซะด้วย!!!

ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าระหว่างเดินทางเยือนอเมริกา ไปจับเข่า จับหัวหน่าว กับคุณปู่ “โจ ซึมเซา” หรือเดินทางมาจับมือถือแขนกับผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านจึงพยายามนำเสนอแนวคิด แนวทาง ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ สำหรับบรรดาชาวโลกทั้งหลายเอาไว้เยอแยะมากมาย ไม่ว่าการหาทางออก หาข้อยุติ ต่อฉากสถานการณ์ความขัดแย้งระดับโลก อย่างกรณี “วิกฤตยูเครน” ด้วยการร่วมกันจัดตั้งองค์กรกลาง หรือ “Peace Club” โดยบรรดาประชาคมโลกทั้งหลาย ที่มุ่งกระตุ้นให้เกิดการหันมานั่งโต๊ะเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ไปพร้อมๆ กับการเลิกสนับสนุน เลิกส่งอาวุธ ไปให้แต่ละฝ่ายฆ่าฟันล้างผลาญกันและกัน อันเป็นแนวคิดที่เป็นไปในแนวเดียวกันกับ “แผนสันติภาพ” ของคุณพี่จีนที่ได้เคยนำเสนอไว้ก่อนหน้านั้น...

ไปจนถึงการสร้างความเป็นอิสระ สร้างอำนาจอธิปไตยในทางเศรษฐกิจ ด้วยการเรียกร้องให้แต่ละประเทศหันมาซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกันและกันด้วยเงินตราสกุลท้องถิ่น แทนที่จะเป็น “เงินดอลลาร์” เหมือนเคย ดังเช่นคำปรารภ รำพึง ที่ท่านได้พูดไว้ ณ นครเซี่ยงไฮ้ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (13 เม.ย.) นั่นแหละว่า... “ทุกๆ คืน...ผมได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมหรือ? ที่ประเทศทั้งหลายถึงยังต้องค้า-ขายกันด้วยเงินดอลลาร์ ทำไมถึงเราไม่คิดจะค้า-ขายกันด้วยสกุลเงินของเราเอง ใครกันหรือ? ที่เป็นผู้กำหนดให้ต้องตัดสินใจใช้เงินยูเอสดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ทั้งๆ ที่มันไม่มีมาตรฐานใดๆ อย่างเช่นทองคำเป็นเครื่องรองรับเอาไว้เลย...” ฯลฯ

อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ ที่น่าจะทำให้บทบาทของผู้นำละตินอเมริการายนี้ผิดแผกแตกต่างไปจากเท่าที่เคยเป็นมา หรือเป็นตัวก่อให้เกิดสัมพันธภาพแบบที่ผู้เชี่ยวชาญด้านละตินอเมริกาของจีน หรือของสถาบัน “The Chinese Academy of Social Sciences-CASS” อย่าง “นายZhou Zhiwei” ถึงกับสรุปไว้ว่าเป็นไปในแบบ “warm politics and economy” หรือเป็นตัวก่อให้เกิดความอบอุ่น ความใกล้ชิด ติดพันระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าในแง่ “การเมือง” หรือ “เศรษฐกิจ” ต่างไปจากยุคอดีตผู้นำบราซิลอย่าง “นายJair Bolsonaro” ผู้ที่เคยได้ชื่อ ฉายา ว่า “ทรัมป์ 2” หรือ “ทรัมป์แห่งละตินอเมริกา” ที่อาจต้องเป็นไปในแบบ “cool politic but warm economy” ไม่ถึงกับผนึกแน่น หลอมรวม จนอาจถือเป็น “พลังแห่งสันติภาพ” ดังที่กำลังปรากฏให้เห็นต่อสายตาของโลกอยู่ในทุกวันนี้...

การผนึกหลอมรวมระหว่างมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างคุณพี่จีน กับมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 แห่งละตินอเมริกาอย่างบราซิล อย่างชนิดแนบแน่นและเหนียวหนึบเช่นนี้ จึงย่อมไม่ใช่เป็นเรื่อง “ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ!!! โดยเฉพาะถ้าหากมีคุณน้ารัสเซีย และคุณปู่อินตะระเดีย พร้อมที่จะเข้ามาหลอมรวมซะอีกด้วย ตามแบบฉบับความเป็นไปของกลุ่มประเทศที่ถูกเรียกขานในนามประเทศ “BRICS” (Brazil-Russia-India-China-South Africa) ทั้งหลาย เพราะเอาแค่บทสรุปรายงานของสำนักวิจัย อย่าง “Acorn Macro Consulting” คราวล่าสุด ที่ระบุไว้ว่า...ไปๆ-มาๆ แล้วกลุ่มประเทศที่เรียกว่า “BRICS” นี่เอง กลับมีศักยภาพ มีพลังทางเศรษฐกิจ เหนือซะยิ่งไปกว่ากลุ่มประเทศรวยๆ หรือกลุ่มประเทศคนเคยรวยอย่างกลุ่มประเทศ “G7” อันประกอบไปด้วย อเมริกา-แคนาดา-ฝรั่งเศส-เยอรมนี-อิตาลี-ญี่ปุ่น-และอังกฤษ แบบชนิดมาแรง-แซงโค้ง ทิ้งห่างบริเวณโค้งวัดเบญฯ จะไปเรียบร้อยแล้ว หรือขณะที่ปริมาณ “GDP” ของกลุ่มประเทศ “G7” อยู่ที่ 30.7 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” แต่สำหรับกลุ่มประเทศ “BRICS” แล้ว โดยปริมาณ “GDP” รวมกันพุ่งขึ้นไปถึง 31.5 เปอร์เซ็นต์ ของ “GDP โลก” ไปแล้วถึงขั้นนั้น!!! นั่นยังไม่ได้หมายรวมไปถึงบรรดาประเทศเล็ก-ประเทศน้อย ที่ต่างกระเหี้ยนกระหือรือคิดสมัครเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศ “BRICS” ในลำดับต่อไป ไม่ว่าแอลจีเรีย, อาร์เจนตินา, บาห์เรน, บังกลาเทศ, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, อิหร่าน, อียิปต์, เม็กซิโก, ซีเรีย, ปากีสถาน, ซูดาน, ตุรกี, ยูเออี, เวเนซุเอลา, ซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ ฯลฯ...

อีกทั้งโดย “แนวโน้ม” ความเป็นไปของโลกนับจากนี้เป็นต้นไป ยิ่งน่าจะทำให้ “ช่องว่าง” ดังกล่าวยิ่งมีแต่จะ “ขยายตัว” ยิ่งขึ้นไปอีก หรือด้วยเหตุเพราะความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่จะทำให้จีน อินเดีย รวมทั้งบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย กลายเป็น “สวรรค์อันปลอดภัย” สำหรับนักลงทุน อันเนื่องมาจากโอกาสในการเติบโต ขยายตัว ไม่ว่ามาก-หรือน้อยไปตามสภาพ ต่างไปจากบรรดา “ประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ” ในแต่ละราย หรือประเทศในยุโรปและอเมริกาที่ต่างเต็มไปด้วยแนวโน้มแห่งการ “เสี่ยงภัย” แนวโน้มแห่งการถดถอย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ดังเช่นคำคาดการณ์คำทำนาย-ทายทัก ของระดับกรรมการผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อย่าง “นางKristalina Georgieva” ที่ได้ออกมาฟันธงและฟันเฟิร์มเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า “พลังแห่งสันติภาพ” จึงเป็นอะไรที่จับต้องได้ รับรู้ได้ สัมผัสได้ ไม่ใช่แค่ความเลื่อนลอยเคว้งๆ คว้างๆ อยู่กลางอากาศ หรือทำให้แม้แต่ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง “CIA” ของอเมริกา อย่าง “นายWilliam Burns” ยังต้องยอมรับสารภาพ ขณะพูดจาปราศรัย ณ เวทีประชุม “The Banker Institute” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ด้วยคำพูดที่ว่า “แม้ว่าเรายังคงเป็นผู้เล่นที่เหนือกว่าคู่แข่งแต่ละราย แต่มันก็ได้เกิดผู้เล่นใหม่ๆ ในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้เราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะให้หลักประกันใดๆ กับประเทศต่างๆ ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไป” ยิ่งถ้าเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูง อย่างเช่นอดีตรัฐมนตรีคลังอเมริกายุคเรแกนและที่ปรึกษารัฐบาลยุคโอบามา อย่าง “นายLarry Summers” ด้วยแล้ว ยิ่งออกอาการ “เหี่ยวปลาย” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ดังเช่นคำให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว “Bloomberg” ช่วงวันศุกร์ (14 เม.ย.) ที่ผ่านมาที่สรุปเอาไว้ว่า... “แม้ว่าเราจะยืนอยู่ในจุดที่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าเราจะมีข้อผูกพันอยู่กับความเป็นประชาธิปไตยและการต่อต้านผู้รุกรานอย่างรัสเซียก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า...ด้วยจุดยืนเช่นนี้เรากำลังโดดเดี่ยว โดยผู้ที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างเรา นับวันยิ่งมีแต่จะลดน้อยถอยลงยิ่งเข้าไปทุกที....”

ด้วยเหตุนี้...แม้อาจต้องใช้ “เวลา” ต้องหา “จังหวะ” และ “โอกาส” เหมาะๆ ในแบบไหน? อย่างไร? ก็ตามที แต่โดยแนวโน้มหรือโดย “พลังแห่งสันติภาพ” ที่ออกจะเหนือกว่า ยิ่งใหญ่และกว้างขวางยิ่งไปกว่าความกระเหี้ยนกระหือรือของบรรดาผู้ที่ “กระหายสงคราม” อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนเช่นนี้ โอกาสที่เราทั้งหลายจะได้เป็นประจักษ์พยานถึง “พลังแห่งสันติภาพ” ในการ “เปลี่ยนโลก” หรือ “เปลี่ยนระเบียบโลก” ให้เกิดความถูกต้อง-เป็นธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลภายในอนาคตเบื้องหน้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น