ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง พรรคการเมืองทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง ต่างก็ผลักนโยบายขายฝันในรูปของการลด แลก แจก แถม ประเภทต่างๆ มีตั้งแต่การปรับเงินเดือนค่าจ้างไปจนถึงการพักการชำระหนี้และยกดอกเบี้ยให้ ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างภาระทางด้านการเงิน การคลังให้กับรัฐบาลในอนาคต และในขณะเดียวกัน เป็นการผลักภาระการชำระหนี้ให้กับประชาชน โดยการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีพลังงาน ด้วยการปรับขึ้นราคาพลังงานเพื่อรักษาระดับรายได้จากการเก็บภาษีจากส่วนนี้
แต่ในขณะที่หลายพรรคแข่งขันออกนโยบายในรูปแบบการลด แลก แจก แถม ดังกล่าวข้างต้น ไม่มีพรรคใดลงลึกถึงวิธีการที่จะหารายได้อย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้เช่น การปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาออกมาแล้วสามารถหางานทำได้ และมีรายได้สูงพอกับค่าครองชีพ และในขณะเดียวกัน กำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างงานรองรับผู้ที่จบการศึกษาในแต่ละปีให้สอดคล้องกัน เพื่อลดปัญหาการว่างงานและเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษี เพื่อให้งบประมาณสมดุลและเกินดุลในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากนโยบายของทุกพรรคที่ปราศรัยหาเสียงกันอยู่ในขณะนี้ แล้วพูดได้คำเดียวว่า อ่อนใจ และมองไม่เห็นว่าประเทศไทยและคนไทย จะก้าวไปสู่จุดที่เรียกได้ว่า ประชาชนอยู่ดี กินดี ตามอัตภาพ และไม่มีหนี้สิน ได้รับการดูแลจากรัฐในรูปแบบรัฐสวัสดิการ ไม่ต้องจมในกองทุกข์จากการเป็นหนี้เฉกเช่นทุกวันนี้
ส่วนในด้านการปกครอง ถึงแม้ว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นที่ต้องการของประชาชนก็จริง แต่ถ้าประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งในพื้นที่แออัดในเมืองใหญ่ ไม่มีความรู้และไม่มีความเข้าใจในหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยดีพอ ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของการปกครองระบอบนี้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงตามนัยที่ว่า โดยประชาชน เพื่อประชาชน ไม่มีวันเกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นเพียงประชาธิปไตยในรูปแบบเผด็จการนายทุน ตามนัยที่ว่า โดยประชาชนแต่เพื่อตนเอง และพวกพ้องเหมือนทุกสิ่งที่ผ่านมาในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ทางการเมืองดังต่อไปนี้
1.ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ส.ส.โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา พรรคที่มีทุนเงิน และมีการจัดตั้งอย่างเป็นปึกแผ่น โดยอาศัยนโยบายที่เกื้อหนุนผลประโยชน์ของคนกลุ่มซึ่งเป็นฐานทางการเมืองของพรรคได้รับชัยชนะทางการเมืองเหนือพรรคคู่แข่งที่มีทุนเงินน้อยกว่า
2. ถ้าได้เป็นรัฐบาลพรรคตามข้อ 1 ก็อาศัยอำนาจปกป้องและแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง ทั้งในรูปแบบตามน้ำและทวนน้ำ
3. เมื่อพรรคการเมืองมีพฤติกรรมองค์กรและพฤติกรรมของผู้นำองค์กร อันเป็นปัจเจกดังกล่าวแล้ว ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ระบบเผด็จการที่รอจังหวะจะเข้าครองอำนาจอยู่แล้วนำพฤติกรรมของพรรคการเมือง และนักการเมืองดังกล่าวมาเป็นข้ออ้าง ทำการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยได้ง่าย เนื่องจากมีประชาชนสนับสนุน
ด้วยเหตุ 3 ประการข้างต้น การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย จึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรจะเป็น และทำให้ประชาชนต้องรับกรรมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
อีกไม่นานนับจากนี้ ประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ถ้าในครั้งนี้ประชาชนยังคงมีพฤติกรรมในการเลือกตั้งแบบเดิม ประเทศและประชาชนก็คงรับกรรมไม่ต่างไปจากเดิม