หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่ชัดเจนที่สุดที่เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับพรรคที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย บางคนบอกว่า พรรคที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย คือ พรรคที่มีแนวคิดเสรีนิยม ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างพรรคอนุรักษนิยมและพรรคเสรีนิยม แต่ตามความคิดของผมพรรคที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมนั้น แท้จริงแล้วก็มีแนวคิดไปทางเสรีนิยมเช่นเดียวกัน เพียงแต่ฐานมวลชนของพรรคอนุรักษนิยมนั้นเป็นฝ่ายเทิดทูลสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ส่วนพรรคที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้น ก็ไม่ได้มีสภาพเป็นเสรีนิยมไปกว่าฝ่ายอนุรักษนิยมหรอก เพียงแต่พรรคที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้นมีพรรคที่ต่อต้านรัฐประหารอย่างพรรคก้าวไกล และพรรคที่ถูกรัฐประหารเมื่อเป็นรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย และคณะรัฐประหารจำเป็นต้องเข้ามาเพราะเกิดมิคสัญญีในประเทศในสภาวะที่ใกล้จะเป็นรัฐล้มเหลว เพียงแต่คณะรัฐประหารล่าสุดที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ติดใจในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและได้รับการสนับสนุนจากมวลชนของฝ่ายอนุรักษนิยม
การอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาอย่างยาวนานของพล.อ.ประยุทธ์นั้น แม้ว่าจะได้ทำประโยชน์อยู่บ้างในการสร้างโครงสร้างสาธารณประโยชน์มากมาย อย่างที่มวลชนที่สนับสนุนเอามาเชิดชูกันว่าผลงานนั้นผลงานนี้เป็นของลุงตู่ แต่ต้องไม่ลืมว่า กว่าครึ่งหนึ่งของยุคสมัยลุงตู่นั้นเกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่มีพรรคฝ่ายค้าน และลุงตู่ยังมีอำนาจตามมาตรา 44 ที่สามารถทำให้เหาะเหิรเดินอากาศก้าวข้ามขั้นตอนของกฎหมายปกติได้
แต่ยุคสมัยของลุงตู่ก็ประสบกับภาวะโรคระบาดและสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แม้รัฐบาลจะสามารถรับมือได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ถูกโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามว่ายังรับมือได้ไม่ดีพอ ประจวบกับการที่อยู่ในตำแหน่งมาอย่างยาวนานทำให้คนจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า กระแสความต้องการนี้จึงส่งผลเป็นบวกต่อพรรคฝ่ายค้าน
ต้องยอมรับด้วยว่าคนจำนวนมากในประเทศไทยยังคงโหยหาทักษิณ เพราะเชื่อว่ายุคสมัยของทักษิณนั้นทำให้ตัวเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีคนทั้งที่เชื่อว่าทักษิณโกงแต่ตัวเองก็ได้ประโยชน์ด้วย มีทั้งเชื่อว่าทักษิณไม่ได้โกงแต่ถูกใส่ร้าย กระบวนการยุติธรรมที่ตัดสินให้ทักษิณและน้องสาวยิ่งลักษณ์รวมไปถึงรัฐมนตรีหลายคนของพรรคเพื่อไทยติดคุกนั้นล้วนแล้วแต่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นคนฝ่ายนี้จึงต้องการให้พรรคของทักษิณกลับมามีอำนาจอีก
มวลชนของทักษิณนั้นเข้มแข็งในหมู่คนชั้นล่าง และคนในชนบทโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสานทำให้พรรคของทักษิณสามารถชนะการเลือกตั้งได้ทุกครั้งตั้งแต่ทักษิณตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาจากพรรคไทยรักไทย มาพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ปัญหาสำคัญคือ พรรคฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาบริหารประเทศนั้นไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อของมวลชนที่รักพรรคของทักษิณได้ ไม่สามารถทำให้มวลชนเชื่อได้ว่าทักษิณนั้นโกงอย่างไร
แต่แม้ว่าพรรคของทักษิณจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งอย่างแบเบอร์ ชนิดเชื่อขนมกินได้ แต่โอกาสที่แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยอย่าง อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เศรษฐา ทวีสิน และชัยเกษม นิติสิริ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบันนั้น นายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสองสภาคือ 376 เสียง ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะได้เสียงส.ส.ถึง 376 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่พึ่งพาเสียงของส.ว.
ถ้าถามว่าใครที่จะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งที่จะมาถึงผมต้องตอบว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ และลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 3 คนนี้เท่านั้นที่น่าจะมีสิทธิ์ แต่ในกรณีของอุ๊งอิ๊งก็อาจจะเปลี่ยนเป็นเศรษฐา ทวีสิน เพราะถึงวันนั้นอยู่ที่ว่ามีผู้มีอิทธิพลนอกพรรคอย่างทักษิณจะเลือกใคร แต่ถ้าถามผมคิดว่า เขาจะเลือกอุ๊งอิ๊งลูกสาวของตัวเอง
ดังนั้นผมจะอธิบายความเป็นไปได้ของบางคน แต่ในกรณีของพรรคเพื่อไทยหากไม่ใช่อุ๊งอิ๊งแล้วก็ให้เข้าใจว่าเป็นเศรษฐาด้วยสมการเดียวกัน เพียงแต่ผมขอหยิบอุ๊งอิ๊งมาเป็นตัวตั้งตามความเชื่อของตัวเองไว้ก่อน
โอกาสของอุ๊งอิ๊ง(หรืออาจเป็นเศรษฐา)เกิดขึ้นด้วยสถานการณ์เดียวก็คือ พรรคเพื่อไทยสามารถรวบรวมเสียงของพรรคและพันธมิตรได้ 376 เสียง ซึ่งถามว่ามีโอกาสไหมก็ต้องตอบว่าน้อยมาก ต่อให้พรรคเพื่อไทยได้เสียงแลนด์สไลด์310 เสียงอย่างที่คำรามไว้ เพราะถ้าเพื่อไทยได้ 310 เสียงก็จะเบียดเสียงของพรรคการเมืองในขั้วเดียวกันอย่างพรรคก้าวไกลให้ได้ที่นั่งน้อยลง
เหตุผลเพราะแม้เชื่อว่าเสียงของมวลชนฝั่งขั้วฝ่ายค้านเดิมน่าจะมีมากกว่าแต่ก็ไม่น่าจะมีมากกว่ากันถึง3ต่อ 2 ถ้าพรรคเพื่อไทยได้ไป 310 คนอย่างที่คุยโวแล้วก็จะเหลือส.ส.เพียง 190 คนเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหลือส.ส.ให้พรรคการเมืองอื่นทุกพรรคทุกฝั่งรวมกันเพียงแค่นี้ ผมคิดว่า ความต่างระหว่างพรรคการเมือง 2 ขั้วกับที่นั่งส.ส.นั้นน่าจะอยู่ที่ 260 ต่อ 240 คน
คือฝั่งของพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบันนั้นน่าจะรวมอยู่ได้ที่ประมาณ 260 คน และฝ่ายพรรครัฐบาลปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ 240 คน แต่ความเป็นไปได้หลังจากนั้นก็คือ พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันอย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคชาติไทยพัฒนา จะข้ามมาเติมที่นั่งให้ฝั่งขั้วฝ่ายค้านในปัจจุบันไหม เติมแล้วจะถึง 376 เสียงไหม
ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ถึงนะ ใน 260 คนของขั้วฝ่ายค้านเดิมนั้นผมคิดว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ที่ประมาณ200+- พรรคก้าวไกลได้ที่50+-พรรคเสรีรวมไทยได้ที่ 5+- พรรคประชาชาติได้ที่ 5+- ซึ่งถ้าฝั่งนี้ได้เท่านี้ก็จะปิดทางพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก(ยังมีโอกาสเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยถ้า 250ส.ว.ยังสนับสนุน)ส่วนพรรคที่มีโอกาสจะเข้ามาเติมฝั่งนี้อย่างพรรคภูมิใจไทยน่าจะได้ที่50+-พรรคพลังประชารัฐที่ 30+-และพรรคชาติไทยพัฒนาที่5+-จะเห็นว่าเสียงก็ยังไม่ถึง 376 อยู่ดีต้องพึ่งพิงเสียงของส.ว.
พรรคที่มีเสียงของส.ว.สนับสนุนก็คือ พรรคพลังประชารัฐที่เสนอพล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นโอกาสต่อรองของพล.อ.ประวิตรก็มีดังนั้นความเป็นไปได้ในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประวิตรกับอุ๊งอิ๊ง(หรือเศรษฐา)ผมคิดว่า พล.อ.ประวิตรจะมีภาษีมากกว่า เพราะถ้าถึงทางตันต้องพึ่งเสียงส.ว. ทักษิณก็อาจต้องยอมพล.อ.ประวิตรเพื่อให้ได้อำนาจรัฐไว้ก่อน
แต่น่าสนใจก็คือ หากขั้วของพรรคเพื่อไทยเสนอแคนดิเดตของพรรคอาจเป็นอุ๊งอิ๊งหรือเศรษฐาก็ตามพรรคก้าวไกลอาจจะโหวตให้ฝั่งนี้ แม้จะไม่ได้ร่วมรัฐบาลด้วยแต่ถ้าเสนอพล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลก็อาจจะไม่โหวตให้ก็คงต้องลุ้นว่า เก้าอี้ส.ว.ฝั่งพล.อ.ประวิตรจะมาเติบเต็มจนครบ 376 เสียงไหม
ส่วนที่ไพบูลย์ นิติตะวัน ประกาศจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยนั้นก็ฟังเอาไว้ เพราะถ้าถึงเวลาพลิกผันไปจากคำพูดนักการเมืองก็สามารถหาคำอธิบายมาได้เสมอ
แล้วถามว่าโอกาสของพล.อ.ประยุทธ์เล่ายังมีอยู่บ้างไหม มีทางไหนที่เป็นไปได้ว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้บ้าง ผมตอบเลยว่า ยาก แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ต่ำกว่าเป้า ไม่ใช่เป้าที่เขาคุยโวว่าจะได้ 310 เสียงนะครับ เพราะเป้านั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่ แต่ต่อให้พรรคเพื่อไทยได้ 170-180 เสียงเท่านั้นก็ไม่ได้ส่งผลเชิงบวกให้กับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เพราะถ้าพรรคเพื่อไทยได้ต่ำกว่าเป้า พรรคที่จะได้มากขึ้นก็คือพรรคก้าวไกล เพราะสองพรรคนี้อยู่บนฐานมวลชนเดียวกัน และยากมากที่มวลชนขั้วใดขั้วหนึ่งจะสวิงข้ามขั้ว เว้นเสียแต่ยึดคิดกับตัวบุคคลมากกว่าพรรคซึ่งคงมีไม่มากนัก
ถ้าจะแอบลุ้นให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมสามารถรวบรวมเสียงส.ส.ได้เกิน 250 คนแล้วสามารถกลับมาก็คงต้องพึ่งพาปาฏิหาริย์เท่านั้น เพราะตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า คนรุ่นใหม่คนวัยทำงานที่มีสิทธิ์เลือกตั้งนั้นส่วนใหญ่จะเลือกพรรคก้าวไกลที่อาจทำให้พรรคก้าวไกลได้ที่นั่งเหนือความคาดหมายโดยเฉพาะในพื้นที่กทม.หรือไม่ถ้าจะพลิกล็อคมวลชนในขั้วรัฐบาลเดิมหรือฝ่ายอนุรักษนิยมจะต้องเกณฑ์คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายให้ออกมาประชันเสียงกับคนรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นถ้าจะให้เรียงโอกาสความเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ตอนนี้ คงต้องเป็นลุงป้อมที่มีภาษีดีกว่าใคร ตามด้วยอุ๊งอิ๊ง (หรือเศรษฐา) และปิดท้ายด้วยลุงตู่
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan