อันที่จริง...ว่าจะชวนให้แวะๆ ไปแถวๆ ตะวันออกกลาง เพราะช่วงระหว่างนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงระดับ “พลิกหลังตีน-เป็นหน้ามือ” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน และออกจะมีความสำคัญต่อโลกต่อทั่วทั้งภูมิภาคเอามากๆ แต่ก็อย่างว่า...เผอิญบ้านเราช่วงนี้ ใครต่อใครต่างดูจะหันไปสนใจในเรื่องการแจกเงิน-แจกทองของ “พรรคเผาไทย” เขา เพื่อหวังจะให้ “แลนด์สไลด์” หรือ “แลนด์ไถล” ใดๆ ก็แล้วแต่ ตามแบบฉบับประชาธิปไตยไทยๆ ที่ชักจะหนักไปทาง “ประชานิยม” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาต กลับมาพูดจาหารือกันในเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่องเศรษฐกิจ-ธุรกิจ อีกสักเที่ยว เผื่อว่าอาจพอได้เกิดข้อคิด อุทาหรณ์สอนใจ ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ยังดี...
คือเรื่องของการแจกเงินเป็นหมื่นๆ อันถือเป็นนโยบายหาเสียงของ “พรรคเผาไทย” นั้น จะแจกแบบไหน? อย่างไร? ได้-ไม่ได้เอาเงินมาจากที่ไหนต่อที่ไหน ผิด-ไม่ผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่? ประการใด? คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ กูรู-กูรู้ รวมทั้งผู้มีส่วนรับผิดชอบทั้งหลาย เขาว่ากันไปตามความคิด-ความเห็น ความชอบ-ความชัง ตามแบบฉบับของใคร-ของมันก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่สิ่งที่น่าจะหยิบยกมาพูดจา ว่ากล่าว ณ ที่นี้ ก็คือการหันไปมองความเป็นไปของ “ภาพรวม” ของ “ป่าทั้งป่า” หรือของ “เศรษฐกิจโลก” ให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เอาไว้ก่อนนั่นแหละทั่น เพราะตราบใดที่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ยังไม่ได้ถึงกับมีที่ตั้งอยู่บนอวกาศ ยังอยู่บนแผนที่โลกหรือยังต้องมี “ปฏิสัมพันธ์” กับประเทศต่างๆ หรือกับโลกทั้งโลก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกนั่นแหละ ที่มันจะเป็นตัวกำหนด ว่าอะไรทำได้-ทำไม่ได้ ควรทำ-ไม่ควรทำ ทำแล้วผู้คนจะอยู่-เย็น-เป็น-สุข เจริญเติบโตมั่งคั่ง หรือทำแล้วมีแต่ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” มีแต่ฉิบหาย วายวอด ด้วยเหตุเพราะความโลภ ความหลง หรือ “ความโง่” ของบรรดาปวงชนชาวไทยโดยส่วนใหญ่ทั้งหลาย...
ซึ่งเรื่องราวความเป็นไปของ “เศรษฐกิจโลก” นั้น...ก็ใช่ว่ายากที่จะรับรู้ ยากที่จะทำความเข้าใจ ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เพราะโดยข่าวคราว ข่าวล่า-มาเรือ ข่าวที่ถือเป็น “เฟกนิวส์” ไม่ใช่ “ฟักนิวส์” โดยเด็ดขาด มันก็มีทยอยออกมาเป็นระยะๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบเอามาใคร่ครวญ พิจารณา กันแบบไหน? อย่างไร? หรือไม่? เพียงใด? อย่างช่วงเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมานี่เอง (6 เม.ย.) ระดับกรรมการผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ “IMF” ที่เพิ่งร่วมประชุม ร่วมวิเคราะห์ความเป็นไปเศรษฐกิจโลกกับบรรดาเจ้าหน้าที่ของ “ธนาคารโลก” อย่างคุณ “Kristalina Georgieva” ท่านก็เพิ่งออกมาฟันธงและฟันเฟิร์มเอาไว้แบบเต็มผืน เต็มด้าม ว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกนั้น...กำลังอยู่ในช่วงที่ “อ่อนแอที่สุด” ในรอบทศวรรษเอาเลยถึงขั้นนั้น!!! คือไม่ใช่แค่ทำท่าว่าจะ “เจริญลง” ในปีนี้-ปีหน้าเท่านั้น แต่อาจลากยาวไปถึงอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า ที่บรรดาความเจริญเติบโต ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก มันค่อนข้างจะโตช้า หรือ “ถึงไม่ตาย...ก็เลี้ยงไม่โต” อะไรประมาณนั้น...
เพราะเพียงแค่ปีนี้...ปริมาณจีดีพีของโลกทั้งโลก ท่านว่าน่าจะโตไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง และโดยถัวเฉลี่ยอีก 5 ปีข้างหน้า ก็ไม่น่าจะเงยหน้า-อ้าปากได้มากมายเกินไปกว่านั้น อันเนื่องมาจาก “เหตุปัจจัย” ที่มันซ้อนทับ ระดมกันมาอย่างเป็นระลอก ไม่ว่าตั้งแต่ปัญหาการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตามด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก หรือระหว่างจีน-รัสเซียกับคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ในแต่ละแนวรบ ไม่ว่ายุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง ไปจนถึงทะเลจีนใต้นั่นแล แถมยังต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อสูงโด่เด่ที่กดยังไงก็กดไม่ลงไปซักกะที ออกอาการ “โด่มิรู้ล้ม” ไปตลอดทั่วทั้งโลก ชนิดที่ทำให้ความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจของแต่ละประเทศยังเป็นแค่ “มายาภาพ” ที่จับต้องแทบมิได้โดยถนัด-ชัดเจน หรือทำให้ความพยายาม “ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย” เพื่อสู้กับเงินเฟ้อของบรรดาธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทั้งหลาย กลายเป็นตัว “เพิ่มแรงกดดัน” ให้กับธนาคารและระบบการเงินจนเกิดการล้มหาย-ตายจาก ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีกันไปเป็นรายๆ ไม่ว่าธนาคารในอเมริกา ยุโรป ถึงขั้นที่ทำให้ประเทศซึ่งเคยได้ชื่อว่าระบบการเงิน-การทองที่แข็งแกร่งมั่นคงที่สุดในโลก กลายสภาพเป็น “สาธารณรัฐกล้วยทางการเงิน” ไปแล้วก็มี อย่างเช่นกรณีการล้มหาย-ตายจากของธนาคาร “Credit Suisse” ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น ฯลฯ...
หรือแม้แต่ 3 ธนาคารในสหรัฐฯ “Silicon Valley Bank”, “SignatureBank” และ “First Republic Bank” ที่แม้จะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในระบบธนาคารที่มีอยู่ด้วยกันกว่า 4,000 แห่งก็ตามที ไม่ว่าจะใส่เงิน-ใส่ทองเข้าไปในแบบไหน? อย่างไร? แต่ในแง่ของ “เหตุปัจจัย” แล้ว ยังไงๆ...มันคงไม่จบ ไม่แล้วเสร็จเอาง่ายๆ หรืออย่างที่ “CEO” ของบริษัท “JPMorgan Chase” “นายJamie Dimon” แกออกมายืนยัน นั่งยันกับบรรดาผู้ถือหุ้นใน “จดหมายข่าว” ช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (6 เม.ย.) นั่นแหละว่า การเจ๊งของบรรดาแบงก์เล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลกับแบงก์ใหญ่ๆ ที่พยายามใส่เงิน-ใส่ทองเข้าไปช่วยเหลือเฟือยฟายแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่ “ความเชื่อ” ของบรรดาชาวอเมริกันต่อสถาบันการเงินยังไม่ได้รับการฟื้นฟูกลับมา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อทุกๆ แบงก์ไม่น้อยไปกว่ากันเอาเลยแม้แต่น้อย และการฟื้นฟูสิ่งเหล่านี้อาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ โดยไม่ใช่เพียงแต่สถาบันการเงิน-การธนาคารเท่านั้น วัน-สองวันก่อนหัวหน้านักลงทุนด้านการบริหารความมั่งคั่งของ “Morgan Stanley” คุณ “Lisa Shalett” เธอก็เพิ่งออกมาเตือนถึง “กลียุคแห่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ในอเมริกาว่าอาจก่อให้เกิดความพังพินาศฉิบหาย ยิ่งกว่า “อภิมหาวิกฤตการเงิน” ไม่ว่าปี ค.ศ. 2008 หรือปีใดๆ ก็ตาม อันเนื่องมาจากบรรดาสินทรัพย์ที่ได้จดจำนองไว้กับธนาคารต่างๆ มันเกิดการเสื่อมค่า เสื่อมราคา ลงไปไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยถ้าไม่มีการ “Refinancing” ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ลามไปถึงทุกภาคส่วน ทุกระบบ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ชนิด “อวสานอเมริกา” เอาง่ายๆ!!!
หรืออย่างที่ศาสตราจารย์วันสิ้นโลก “Doctor Doom” หรือ “นายNouriel Roubini” ท่านได้ออกมาฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้ก่อนหน้านี้ไม่นานนั่นแหละว่า บรรดาธนาคารกว่า 4,000 แห่งในอเมริกา โดยส่วนใหญ่แล้ว...ต่างกำลังเจอภาวะ “ใกล้ล้มละลายทางเทคนิค” เข้าไปทุกที ส่วนอีกนับร้อยๆ ธนาคารถึงขั้น “ล้มละลายโดยเบ็ดเสร็จ” ไปเรียบร้อยแล้ว จริง-ไม่จริง...ก็แล้วแต่ “ความเชื่อ” ของใคร-ของมันที่จะไปชั่งน้ำหนักกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาหรือพันธมิตรตะวันตก หรือบรรดาประเทศที่ผู้อำนวยการ “IMF” คุณ “Kristalina Georgieva” เธอใช้คำว่า “ประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจทั้งหลาย” มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ที่มีแต่ต้องเจอกับความเสื่อมทรุด เสื่อมถอย ชนิดอาจทำให้ “จีดีพีโลก” สูญหายไปไม่น้อยกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับจีดีพีของประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างเยอรมนีและญี่ปุ่นรวมกัน!!! นี่...หนักหนา-สาหัสไปถึงขั้นนั้น...
เหลือแต่ประเทศในเอเชีย อย่างเช่นจีน-อินเดีย รวมถึงบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย ที่ยังพอเงยหน้า-อ้าปากได้มั่ง ตามความคิด-ความเห็นของกรรมการผู้อำนวยการรายนี้ แต่จะถึงขั้นช่วย “ขับเคลื่อน” ขบวนรถจักรทางเศรษฐกิจให้เคลื่อนที่ไปได้ถึงขั้นไหน ก็ยังยากที่จะสรุปได้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้...เธอจึงเอ่ยปากเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าถือเป็นช่วงเวลาที่ “ประชาคมโลกจะต้อง...ระมัดระวังและเพิ่มความกระฉับกระเฉงกว่าเท่าที่เคยเป็นมา ต้องพร้อมที่จะก้าวข้ามขั้นตอนอันซับซ้อนและยุ่งยาก เพื่อป้องกันระบบการเงินของตัวเองเอาไว้ให้จงหนัก” โดยเฉพาะบรรดาประเทศที่มีความ “เปราะบาง” และบรรดาประชาชนที่ยังคงมีความ “เปราะบาง” ทางเศรษฐกิจทั้งหลาย...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...อะไรก็ตามที่ออกไปทาง “อีลุ่ย-ฉุยแฉก” ไม่ได้คิดหน้า-คิดหลัง ไม่ได้คิดถึงเศรษฐกิจโลกที่ย่อมต้องมีผลไม่มาก-ก็น้อยต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่หนีไม่พ้นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเป็นหลักใหญ่ ต้องขึ้นอยู่กับการส่งออก การท่องเที่ยว ฯลฯ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แทนที่จะแจกแหลก-แจกสะบั้น เกทับ-บลัฟฟ์แหลก ไปตามความนิยม หรือ “ประชานิยม” ของใคร-ก็ของมัน เผลอๆ...อาจต้องหวนกลับไปทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ถึงแก่น ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ความพอเพียง” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ล้นเกล้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเคยทรงชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ไม่ต่างไปจาก “คาถาศักดิ์สิทธิ์” ให้กับบรรดาปวงชนและพสกนิกรทั้งหลาย เมื่อครั้งยังมีพระชนมชีพอยู่กว่า 30-40 ปีที่แล้ว อันนี้นี่แหละ...ถึงอาจพอช่วยให้ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ไม่ถึงกับต้อง “แลนด์ไถล” ต้องเข้ารก-เข้าพง ออกอ่าว-ออกทะเล จนต้องกลายสภาพเป็น “ประชาธิป...ตาย” กันในชนิดครั้งแล้ว-ก็ครั้งเล่า...