หนังเจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007 ตอนที่ 3 ชื่อไอ้นิ้วทอง Goldfinger นำออกมาฉายเมื่อปี 1964 เป็นหนังสายลับ บู๊ระทึกใจ เป็นที่เป็นที่นิยมชมชอบของคนดูทั่วโลกได้บอกเป็นนัยว่า ทองคำจะกลับมาฉายแสง และมีบทบาทที่สำคัญในระบบการเงินโลกอีกอีกครั้งในปี 2023
เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ตัวละครเจมส์ บอนด์ แสดงโดยฌอน คอนเนอร์รี ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว อยู่ฝ่ายหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ หรือ M I6 ที่ทำงานลับในต่างประเทศให้กับควีนของอังกฤษ
พล็อตเรื่องของซีรีส์ 007 เขียนโดยเอียน เฟลมมิ่ง ออกมาในแนวการต่อสู้ระหว่าง M I6 กับผู้ก่อการร้ายสากล โดยมีเจมส์ บอนด์ รับบทเป็นอัศวินคู่ราชบัลลังก์คอยปฏิบัติการลับตามลำสั่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ และความมั่นคงของราชวงศ์อังกฤษ
นับว่าอังกฤษใช้หนังเจมส์ บอนด์เพื่อสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อว่าอังกฤษเป็นพระเอก ผู้ดีที่ปกป้องโลก ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริง อังกฤษเป็นผู้ร้ายเต็มตัวทั้งในยุคล่าอาณานิคม และยุคหลังการล่าอาณานิคมตลอดระยะเวลา 200-300 ปีที่ผ่านมา
ภาพยนตร์ Goldfinger เริ่มต้นด้วยเจมส์ บอนด์ สายลับมือหนึ่งของ M I6 ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ไปสืบและทำลายขบวนการลักลอบขนทองระดับโลก โดยมีออริก โกลด์ฟิงเกอร์ Auric Goldfinger หรือไอ้นิ้วทอง ซึ่งเป็นนักค้าทอง และเป็นตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลัง
M I6 สืบทราบว่า ไอ้นิ้วทองลักลอบขนทองคำจากอังกฤษไปสวิตเซอร์แลนด์ และอาจจะคิดการใหญ่อะไรบางอย่าง จึงมอบหมายให้เจมส์ บอนด์ไปสืบดู
บอนด์เริ่มต้นงานใหญ่นี้ที่ไมอามี ก่อนที่จะจบลงที่ Fort Knox ค่ายทหารที่มลรัฐเคนตั๊กกี้ ประเทศสหรัฐฯ
บอนด์สืบทราบว่า ด็อกเตอร์หลิง นักฟิสิกส์ชาวจีนเป็นหัวหน้าทีมงานที่ช่วยไอ้นิ้วทองหลอมทองคำเข้าตัวโครงรถยนต์โรลส์-รอยซ์ ก่อนที่จะถูกส่งไปขายที่สวิตเซอร์แลนด์ บอนด์แอบได้ยิน ไอ้นิ้วทองพูดกับด็อกเตอร์หลิงเกี่ยวกับปฏิบัติการลับสุดยอด หรือ Operation Grand Slam
แผนการของไอ้นิ้วทอง คือจะใช้หน่วยจู่โจมพิเศษบุกเข้าไปใน Fort Knox ซึ่งเป็นที่เก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ ทั้งหมด 10,500 ตัน มีมูลค่ารวม $15,000 ล้าน
ไอ้นิ้วทองมีผู้ช่วยมือสังหารคือไอ้งานจิปาถะ (Oddjob) ซึ่งดูหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะเป็นชาวเกาหลี
จะเห็นได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างภาพให้เกาหลี และจีนเป็นผู้ร้าย เรื่องอื่นๆ ของเจมส์ บอนด์ ผู้ร้ายมักจะเป็นรัสเซียน หรือไม่ก็พวกโรคจิตต้องการครองโลก
สหรัฐฯ มีทองคำ 20,000 ตันตั้งแต่ก่อนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงปี 1950s เพื่อใช้หนุนค่าเงินดอลลาร์ในระบบมาตรฐานทองคำ สหรัฐฯ เปรียบเหมือนแอ่งกระทะใหญ่ที่ทองคำจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกไหลเข้า เหมือนกับจะรู้ว่าสงครามโลกจะเกิดขึ้น จึงเอาไปฝากไว้ที่สหรัฐฯ
หลังชนะสงครามโลก อังกฤษและสหรัฐฯ จัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติที่ Bretton Woods รัฐนิวแฮมเชียร์ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อกำหนดให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกผ่านระบบมาตรฐานทองคำ ซึ่งเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่โดยสหรัฐฯ ใช้ทองคำ 20,000 ตันเพื่อหนุนค่าเงินดอลลาร์ ที่ผูกกับทองคำที่อัตรา $35 ต่อทองคำ 1 ออนซ์
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ผูกค่าเงินของตัวเองกับดอลลาร์เท่ากับว่าอิงกับทองคำโดยปริยาย ทำให้มีคำกล่าวว่าดอลลาร์เปรียบเหมือนทองคำ The dollar is as good as gold.
นี่คือระบบการเงิน Bretton Woods system
ย้อนกลับมาที่ปฏิบัติการลับสุดยอด Operation Grand Slam บอนด์สืบทราบว่า ไอ้นิ้วทองต้องการเอาระเบิดมหาประลัย ซึ่งด็อกเตอร์หลิงได้มาจากรัฐบาลจีนเพื่อที่จะทำลายทองคำสำรองทั้งหมดของสหรัฐฯ 10,500 ตันให้กลายเป็นตะกั่วจากการถูกสารรังสีของระเบิดมหาประชัย
ไอ้นิ้วทองเปิดเผยว่า ฤทธิ์ของระเบิดสกปรกอาบรังสีจะทำงานเพียง 58 ปี
ไอ้นิ้วทองบอกว่า หลังจากเวลา 58 ปีผ่านไป รังสีจากระเบิดมหาประลัยจะหมดฤทธิ์ ทองคำที่กลายเป็นตะกั่วจะกลับมาเป็นทองคำที่มีค่าเหมือนเดิม
ทำไมถึง 58 ปี?? อ่านต่อไปแล้วจะค่อยๆ เห็นภาพชัดขึ้น
แต่ในระหว่างนั้นที่ทองคำของ Fort Knox เป็นตะกั่ว ทองคำของไอ้นิ้วทองจะมีราคาพุ่งสูงทะลุไปดวงจันทร์ เพราะว่าทองคำที่เหลือบนโลกมีน้อย
เมื่อทองคำสำรองของสหรัฐฯ ที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ในระบบมาตรฐานทองคำกลายเป็นตะกั่ว ดอลลาร์จะขาลอย ไม่มีอะไรอ้างอิง จะกลายเป็นกระดาษไร้ค่า หรือแบงก์กงเต๊ก ความเชื่อมั่นในดอลลาร์จะหมดไป สิ่งที่ตามมาคือเงินเฟ้อพุ่งสูงทะลุฟ้า ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และระบบเศรษฐกิจโลกจะพังพินาศไปด้วย
จีนจะได้ประโยชน์จากการล่มสลายของดอลลาร์ และการพังทลายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
แต่ด้วยความสามารถเก่งกล้าของบอนด์ จึงสามารถทำลายแผนการของไอ้นิ้วทองได้ ด้วยการปิดสวิตช์ระเบิดมหาประชัยก่อนที่มันจะทำลายทองคำสำรองของสหรัฐฯ
เรื่องจบลงด้วยดี เพราะว่าบอนด์สามารถปกป้องระบบการเงินโลกที่อิงมาตรฐานทองคำได้ ดอลลาร์ไม่ไร้ค่า เงินเฟ้อไม่ถามหา เศรษฐกิจโลกไม่ปั่นป่วน จีนไม่สามารถหาประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ล่มสลายตามแผน
บอนด์จึงเป็นพระเอกหรือฮีโร่ตามเคยที่สามารถกอบกู้วิกฤตโลกจากการก่อการร้ายทางการเงินได้ โดยเกาหลีเหนือและจีนถูกสร้างภาพว่าเป็นผู้ร้าย
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นหนังภาพยนตร์ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ร้ายไม่ใช่ไอ้นิ้วทอง หรือจีนที่ทำลายระบบมาตรฐานทองคำ แต่ผู้ร้ายกลายเป็นประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐฯ เสียเอง
ไอ้นิ้วทอง #1: ในปี 1971 หรือ 7 ปีหลังจากหนัง Goldfinger ออกฉาย นิกสันประกาศยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1944 ดอลลาร์จะไม่ผูกกับทองคำอีกต่อไป
ทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐฯ มีการพิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายเกินตัว หรือเกินทองคำสำรองที่หนุนธนบัตรดอลลาร์ มีการใช้จ่ายมากในการทำสงครามเวียดนาม ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ผู้ที่ถือครองดอลลาร์เป็นรีเสิร์ฟเกิดความไม่มั่นใจ จึงเอาดอลลาร์มาขึ้นทองคำกับธนาคารกลางสหรัฐฯ มีผลทำให้ทองคำไหลออกจากคลังของสหรัฐฯ มากจนกระทั่งเหลือเพียง 8,113 ตัน ทำให้มีความเสี่ยงว่าสหรัฐฯ จะไม่มีทองคำเหลือ
นิกสันเลยล้มโต๊ะ เบี้ยวหนี้ ด้วยการไม่ให้ผู้ใดเอาดอลลาร์มาขึ้นทองคำอีก โดยอ้างว่าแม้ไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความสามารถในการเก็บภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ จะจะการันตีความมั่นคงของดอลลาร์แทน
นิกสันคือไอ้นิ้วทอง ผู้ร้ายตัวจริงนี้เอง
ตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ดอลลาร์จึงกลายเป็นกระดาษไอโอยูธรรมดาหรือแบงก์กงเต๊ก ที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง แต่เนื่องจากสหรัฐฯ เอาแสนยานุภาพทางทหารมาข่มขู่ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องจำยอมถือดอลลาร์กระดาษต่อไป
นายจอห์น คอนนัลลี อดีต รมว.คลังของสหรัฐฯ กล่าวอย่างหยิ่งยะโสว่า ดอลลาร์เป็นเงินของเรา แต่เป็นปัญหาของคุณ
ไอ้นิ้วทอง #2: สหรัฐฯ รู้ดีว่า ดอลลาร์ขาลอยอย่างนี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ ปี 1974 หรือ 3 ปีหลังจากไอ้นิ้วทองนิกสันเบี้ยวหนี้ทองคำ สหรัฐฯ ส่งนายเฮนรี คิสซินเจอร์ รมว.ต่างประเทศไปตกลงกับซาอุฯ และประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางให้ขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลลาร์เท่านั้น และเมื่อขายน้ำมันได้ดอลลาร์ก็ให้เอาดอลลาร์รีไซเคิลกลับไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ดอลลาร์กลับมาเกิดใหม่เป็นเปโตรดอลลาร์
ในเมื่อเกือบทุกประเทศในโลกต้องซื้อน้ำมัน จึงต้องสำรองดอลลาร์ในรีเสิร์ฟของประเทศ เพื่อใช้ในการชำระการนำเข้าน้ำมัน ทำให้มีดีมานด์สำหรับดอลลาร์ ซึ่งยังคงสามารถรักษาการเป็นเงินสกุลหลักของโลกเอาไว้ได้
คิสซินเจอร์จึงเป็นไอ้นิ้วทองตัวต่อไป ที่ทำงานต่อจากนิกสัน ที่สามารถเล่นกลเสกคาถาเอาบ่อน้ำมันของตะวันออกกลาง หรือที่เรียกว่าทองคำดำ Black Gold มาหนุนความน่าเชื่อถือของดอลลาร์แทนทองคำที่ถูกนิกสันยกเลิกไป
ไอ้นิ้วทอง #3: The Boston Globe รายงานว่าระหว่างปี 1973-1974 ทองคำสำรองของสหรัฐฯ ทั้งหมดที่ Fort Knox ถูกปล้นไปหมด โดยที่ไม่มีใครสนใจไยดี
มีการเอารถบรรทุก 300 คันไปขนทองคำที่ Fort Knox 7,000 ตันไป โดยที่ไม่สามารถจับมือใครดมได้
เรื่องนี้คือ Operation Grand Slam ของจริง ไม่ใช่ Operation Grand Slam ของเทียมในหนังเจมส์ บอนด์
แต่คนที่สั่งขโมยทองจาก Fort Knox ต้องมีอำนาจล้นฟ้า บางสื่อบอกว่าพวกตระกูลดังเป็นผู้บงการ หรือทำตัวเป็นไอ้นิ้วทอง #3 เป็นที่รู้กันว่า พวกตระกูลดังของอังกฤษมีความใกล้ชิดกัน ทองคำสหรัฐฯ น่าที่จะถูกลำเลียงไปอยู่ที่อังกฤษ หรือสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้
ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีการไปตรวจสอบ หรือตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาเพื่อตรวจสอบทองคำที่ Fort Knox ว่า ยังคงมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่เหลืออยู่เท่าใด หรือที่มีอยู่เป็นแค่อิฐทาด้วยสีทอง
ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ นายสตีฟ มนูชิน รมว.คลังสหรัฐฯ เดินทางไปสำรวจทองคำสำรองที่ Fort Knox เพื่อแก้ข้อครหา แต่เหมือนเป็นการไปพีอาร์มากกว่า เพราะว่าไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบนับแท่งทองอย่างจริงๆ จังๆ
Bill Still ผู้สื่อข่าว และบรรณาธิการชาวอเมริกัน เชื่อว่า ไม่มีทองคำเหลืออยู่ที่ Fort Knox
ไอ้นิ้วทอง #4: หลังจากนั้นมีขบวนการอั้งยี่ที่ทำหน้าที่กดราคาทองให้ต่ำกว่าความเป็นจริงตลอด เพื่อไม่ให้ทองกลับมามีบทบาทในระบบการเงินโลกอีกต่อไป จะได้ไม่มากลบรัศมีของดอลลาร์กระดาษ
มีความเป็นไปได้หัวหน้าของขบวนการนี้ เป็นนายธนาคารกลางของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของธนาคารกลาง
มีรายงานเป็นระยะๆ ว่า BIS มีบทบาทสูงในการทุบราคาทอง โดยทำงานประสานกันกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางสวิส และธนาคารพาณิชย์ในเครือ โดยมีเจพี มอร์แกนมือปั่นรายใหญ่ผ่านตลาดค้าทองคำฟิวเจอร์ส
นอกจากนี้ยังมีการล้างสมองทางวิชาการการเงินเนื่องว่า ระบบมาตรฐานทองคำไม่เหมาะกับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพราะว่าจะเป็นข้อจำกัดของนโยบายการเงิน หรือการขยายตัวของเครดิต ทำให้จีดีพีไม่เติบโตเต็มศักยภาพ ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว เมื่อไม่มีทองคำคอยเป็นบรรทัดฐาน ทำให้ธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมีผลทำให้เกิดเงินเฟ้อ และวงจรบูม และพังทลายของตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจ
ย้อนกลับไปพิจารณารหัสลับของไอ้นิ้วทองว่าทำไมบอกว่าฤทธิ์ของระเบิดมหาประชัยทำงานได้เพียง 58 ปี
หนัง Goldfinger ออกฉายในวันที่ 17 กันยายน ปี ค.ศ. 1964 เมื่อบวกปี 1964 กับ 58 ปีจะได้ปี 2022 พอดี !!!
ในปี 2022 จะเห็นได้ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาซื้อทองคำกันขนานใหญ่ รวมกันถึง1,136ตัน นับเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 70 ปี ในขณะที่ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายสิบปี ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองรวมกันแต่ละปีแค่ 200-300 ตัน และมีหลายปีเป็นผู้ขายทองคำสุทธิด้วยซ้ำ เนื่องจากเห็นดอลลาร์กระดาษดีกว่าทองคำ ในปี 2005 ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ขายสุทธิ 700 ตัน
การที่ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาให้น้ำหนักกับทองคำ ต่างกับความนิยมในการถือครองดอลลาร์เป็นหลัก เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบการเงินสหรัฐฯ ที่มีการกดดอกเบี้ยต่ำ พร้อมกับการพิมพ์เงินแบบอีลุ่ยฉุยแฉกเป็นเวลา 14 ปีตั้งแต่หลังวิกฤตปี 2008 ทำให้เกิดฟองสบู่การเงิน พอถึงวงจรที่ต้องหันมาขึ้นดอกเบี้ย เพราะเกิดเงินเฟ้อจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้เกรงว่าระบบธนาคาร หรือระบบการเงินจะพัง
หลังจากที่มีการตะลุยซื้อทองคำปีที่แล้ว ทองคำเริ่มฉายแสงออกมาในปี 2023 นี้ ตามคำบอกใบ้ของไอ้นิ้วทองในหนัง Goldfinger โดยราคาทองสามารถยืนเหนือระดับ $2,000 ต่อออนซ์หลายครั้ง ท่ามกลางความกังวลใจการล่มสลายของหลายแบงก์ในสหรัฐฯ และการล้มละลายของธนาคารเครดิต ซูอิส
มองไปข้างหน้า หลังจากการล่มสลายของระบบดอลลาร์กระดาษ อังกฤษและสหรัฐฯ เตรียมการที่จะเปิดตัวเงินดิจิทัลโลก CBDC (Central Bank Digital Currency) เพื่อล้างหนี้เก่าทั้งหมด และเริ่มต้นระบบการเงินแบบดิจิทัลใหม่ โดยไม่มีทองคำหนุนหลังอยู่ดี
ต้องจับตาดูว่า ใครจะรับบทเป็นไอ้นิ้วทองคนต่อไป ที่จะทำลายทองคำ รวมทั้งสกัดเปโตรหยวนของจีน และความพยายามของกลุ่มบริกส์ที่จะออกเงินสกุลร่วมเพื่อออกจากอิทธิพลของดอลลาร์กระดาษ เพื่อว่าอังกฤษและสหรัฐฯ จะได้ครอบงำระบบการเงินโลกต่อไปผ่านเงินดิจิทัลโลก
เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ตัวละครเจมส์ บอนด์ แสดงโดยฌอน คอนเนอร์รี ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว อยู่ฝ่ายหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ หรือ M I6 ที่ทำงานลับในต่างประเทศให้กับควีนของอังกฤษ
พล็อตเรื่องของซีรีส์ 007 เขียนโดยเอียน เฟลมมิ่ง ออกมาในแนวการต่อสู้ระหว่าง M I6 กับผู้ก่อการร้ายสากล โดยมีเจมส์ บอนด์ รับบทเป็นอัศวินคู่ราชบัลลังก์คอยปฏิบัติการลับตามลำสั่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ และความมั่นคงของราชวงศ์อังกฤษ
นับว่าอังกฤษใช้หนังเจมส์ บอนด์เพื่อสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อว่าอังกฤษเป็นพระเอก ผู้ดีที่ปกป้องโลก ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริง อังกฤษเป็นผู้ร้ายเต็มตัวทั้งในยุคล่าอาณานิคม และยุคหลังการล่าอาณานิคมตลอดระยะเวลา 200-300 ปีที่ผ่านมา
ภาพยนตร์ Goldfinger เริ่มต้นด้วยเจมส์ บอนด์ สายลับมือหนึ่งของ M I6 ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ไปสืบและทำลายขบวนการลักลอบขนทองระดับโลก โดยมีออริก โกลด์ฟิงเกอร์ Auric Goldfinger หรือไอ้นิ้วทอง ซึ่งเป็นนักค้าทอง และเป็นตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลัง
M I6 สืบทราบว่า ไอ้นิ้วทองลักลอบขนทองคำจากอังกฤษไปสวิตเซอร์แลนด์ และอาจจะคิดการใหญ่อะไรบางอย่าง จึงมอบหมายให้เจมส์ บอนด์ไปสืบดู
บอนด์เริ่มต้นงานใหญ่นี้ที่ไมอามี ก่อนที่จะจบลงที่ Fort Knox ค่ายทหารที่มลรัฐเคนตั๊กกี้ ประเทศสหรัฐฯ
บอนด์สืบทราบว่า ด็อกเตอร์หลิง นักฟิสิกส์ชาวจีนเป็นหัวหน้าทีมงานที่ช่วยไอ้นิ้วทองหลอมทองคำเข้าตัวโครงรถยนต์โรลส์-รอยซ์ ก่อนที่จะถูกส่งไปขายที่สวิตเซอร์แลนด์ บอนด์แอบได้ยิน ไอ้นิ้วทองพูดกับด็อกเตอร์หลิงเกี่ยวกับปฏิบัติการลับสุดยอด หรือ Operation Grand Slam
แผนการของไอ้นิ้วทอง คือจะใช้หน่วยจู่โจมพิเศษบุกเข้าไปใน Fort Knox ซึ่งเป็นที่เก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ ทั้งหมด 10,500 ตัน มีมูลค่ารวม $15,000 ล้าน
ไอ้นิ้วทองมีผู้ช่วยมือสังหารคือไอ้งานจิปาถะ (Oddjob) ซึ่งดูหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะเป็นชาวเกาหลี
จะเห็นได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างภาพให้เกาหลี และจีนเป็นผู้ร้าย เรื่องอื่นๆ ของเจมส์ บอนด์ ผู้ร้ายมักจะเป็นรัสเซียน หรือไม่ก็พวกโรคจิตต้องการครองโลก
สหรัฐฯ มีทองคำ 20,000 ตันตั้งแต่ก่อนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงปี 1950s เพื่อใช้หนุนค่าเงินดอลลาร์ในระบบมาตรฐานทองคำ สหรัฐฯ เปรียบเหมือนแอ่งกระทะใหญ่ที่ทองคำจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกไหลเข้า เหมือนกับจะรู้ว่าสงครามโลกจะเกิดขึ้น จึงเอาไปฝากไว้ที่สหรัฐฯ
หลังชนะสงครามโลก อังกฤษและสหรัฐฯ จัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติที่ Bretton Woods รัฐนิวแฮมเชียร์ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อกำหนดให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกผ่านระบบมาตรฐานทองคำ ซึ่งเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่โดยสหรัฐฯ ใช้ทองคำ 20,000 ตันเพื่อหนุนค่าเงินดอลลาร์ ที่ผูกกับทองคำที่อัตรา $35 ต่อทองคำ 1 ออนซ์
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ผูกค่าเงินของตัวเองกับดอลลาร์เท่ากับว่าอิงกับทองคำโดยปริยาย ทำให้มีคำกล่าวว่าดอลลาร์เปรียบเหมือนทองคำ The dollar is as good as gold.
นี่คือระบบการเงิน Bretton Woods system
ย้อนกลับมาที่ปฏิบัติการลับสุดยอด Operation Grand Slam บอนด์สืบทราบว่า ไอ้นิ้วทองต้องการเอาระเบิดมหาประลัย ซึ่งด็อกเตอร์หลิงได้มาจากรัฐบาลจีนเพื่อที่จะทำลายทองคำสำรองทั้งหมดของสหรัฐฯ 10,500 ตันให้กลายเป็นตะกั่วจากการถูกสารรังสีของระเบิดมหาประชัย
ไอ้นิ้วทองเปิดเผยว่า ฤทธิ์ของระเบิดสกปรกอาบรังสีจะทำงานเพียง 58 ปี
ไอ้นิ้วทองบอกว่า หลังจากเวลา 58 ปีผ่านไป รังสีจากระเบิดมหาประลัยจะหมดฤทธิ์ ทองคำที่กลายเป็นตะกั่วจะกลับมาเป็นทองคำที่มีค่าเหมือนเดิม
ทำไมถึง 58 ปี?? อ่านต่อไปแล้วจะค่อยๆ เห็นภาพชัดขึ้น
แต่ในระหว่างนั้นที่ทองคำของ Fort Knox เป็นตะกั่ว ทองคำของไอ้นิ้วทองจะมีราคาพุ่งสูงทะลุไปดวงจันทร์ เพราะว่าทองคำที่เหลือบนโลกมีน้อย
เมื่อทองคำสำรองของสหรัฐฯ ที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ในระบบมาตรฐานทองคำกลายเป็นตะกั่ว ดอลลาร์จะขาลอย ไม่มีอะไรอ้างอิง จะกลายเป็นกระดาษไร้ค่า หรือแบงก์กงเต๊ก ความเชื่อมั่นในดอลลาร์จะหมดไป สิ่งที่ตามมาคือเงินเฟ้อพุ่งสูงทะลุฟ้า ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และระบบเศรษฐกิจโลกจะพังพินาศไปด้วย
จีนจะได้ประโยชน์จากการล่มสลายของดอลลาร์ และการพังทลายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
แต่ด้วยความสามารถเก่งกล้าของบอนด์ จึงสามารถทำลายแผนการของไอ้นิ้วทองได้ ด้วยการปิดสวิตช์ระเบิดมหาประชัยก่อนที่มันจะทำลายทองคำสำรองของสหรัฐฯ
เรื่องจบลงด้วยดี เพราะว่าบอนด์สามารถปกป้องระบบการเงินโลกที่อิงมาตรฐานทองคำได้ ดอลลาร์ไม่ไร้ค่า เงินเฟ้อไม่ถามหา เศรษฐกิจโลกไม่ปั่นป่วน จีนไม่สามารถหาประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ล่มสลายตามแผน
บอนด์จึงเป็นพระเอกหรือฮีโร่ตามเคยที่สามารถกอบกู้วิกฤตโลกจากการก่อการร้ายทางการเงินได้ โดยเกาหลีเหนือและจีนถูกสร้างภาพว่าเป็นผู้ร้าย
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นหนังภาพยนตร์ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ร้ายไม่ใช่ไอ้นิ้วทอง หรือจีนที่ทำลายระบบมาตรฐานทองคำ แต่ผู้ร้ายกลายเป็นประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐฯ เสียเอง
ไอ้นิ้วทอง #1: ในปี 1971 หรือ 7 ปีหลังจากหนัง Goldfinger ออกฉาย นิกสันประกาศยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1944 ดอลลาร์จะไม่ผูกกับทองคำอีกต่อไป
ทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐฯ มีการพิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายเกินตัว หรือเกินทองคำสำรองที่หนุนธนบัตรดอลลาร์ มีการใช้จ่ายมากในการทำสงครามเวียดนาม ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ผู้ที่ถือครองดอลลาร์เป็นรีเสิร์ฟเกิดความไม่มั่นใจ จึงเอาดอลลาร์มาขึ้นทองคำกับธนาคารกลางสหรัฐฯ มีผลทำให้ทองคำไหลออกจากคลังของสหรัฐฯ มากจนกระทั่งเหลือเพียง 8,113 ตัน ทำให้มีความเสี่ยงว่าสหรัฐฯ จะไม่มีทองคำเหลือ
นิกสันเลยล้มโต๊ะ เบี้ยวหนี้ ด้วยการไม่ให้ผู้ใดเอาดอลลาร์มาขึ้นทองคำอีก โดยอ้างว่าแม้ไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความสามารถในการเก็บภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ จะจะการันตีความมั่นคงของดอลลาร์แทน
นิกสันคือไอ้นิ้วทอง ผู้ร้ายตัวจริงนี้เอง
ตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ดอลลาร์จึงกลายเป็นกระดาษไอโอยูธรรมดาหรือแบงก์กงเต๊ก ที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง แต่เนื่องจากสหรัฐฯ เอาแสนยานุภาพทางทหารมาข่มขู่ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องจำยอมถือดอลลาร์กระดาษต่อไป
นายจอห์น คอนนัลลี อดีต รมว.คลังของสหรัฐฯ กล่าวอย่างหยิ่งยะโสว่า ดอลลาร์เป็นเงินของเรา แต่เป็นปัญหาของคุณ
ไอ้นิ้วทอง #2: สหรัฐฯ รู้ดีว่า ดอลลาร์ขาลอยอย่างนี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ ปี 1974 หรือ 3 ปีหลังจากไอ้นิ้วทองนิกสันเบี้ยวหนี้ทองคำ สหรัฐฯ ส่งนายเฮนรี คิสซินเจอร์ รมว.ต่างประเทศไปตกลงกับซาอุฯ และประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางให้ขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลลาร์เท่านั้น และเมื่อขายน้ำมันได้ดอลลาร์ก็ให้เอาดอลลาร์รีไซเคิลกลับไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ดอลลาร์กลับมาเกิดใหม่เป็นเปโตรดอลลาร์
ในเมื่อเกือบทุกประเทศในโลกต้องซื้อน้ำมัน จึงต้องสำรองดอลลาร์ในรีเสิร์ฟของประเทศ เพื่อใช้ในการชำระการนำเข้าน้ำมัน ทำให้มีดีมานด์สำหรับดอลลาร์ ซึ่งยังคงสามารถรักษาการเป็นเงินสกุลหลักของโลกเอาไว้ได้
คิสซินเจอร์จึงเป็นไอ้นิ้วทองตัวต่อไป ที่ทำงานต่อจากนิกสัน ที่สามารถเล่นกลเสกคาถาเอาบ่อน้ำมันของตะวันออกกลาง หรือที่เรียกว่าทองคำดำ Black Gold มาหนุนความน่าเชื่อถือของดอลลาร์แทนทองคำที่ถูกนิกสันยกเลิกไป
ไอ้นิ้วทอง #3: The Boston Globe รายงานว่าระหว่างปี 1973-1974 ทองคำสำรองของสหรัฐฯ ทั้งหมดที่ Fort Knox ถูกปล้นไปหมด โดยที่ไม่มีใครสนใจไยดี
มีการเอารถบรรทุก 300 คันไปขนทองคำที่ Fort Knox 7,000 ตันไป โดยที่ไม่สามารถจับมือใครดมได้
เรื่องนี้คือ Operation Grand Slam ของจริง ไม่ใช่ Operation Grand Slam ของเทียมในหนังเจมส์ บอนด์
แต่คนที่สั่งขโมยทองจาก Fort Knox ต้องมีอำนาจล้นฟ้า บางสื่อบอกว่าพวกตระกูลดังเป็นผู้บงการ หรือทำตัวเป็นไอ้นิ้วทอง #3 เป็นที่รู้กันว่า พวกตระกูลดังของอังกฤษมีความใกล้ชิดกัน ทองคำสหรัฐฯ น่าที่จะถูกลำเลียงไปอยู่ที่อังกฤษ หรือสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้
ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีการไปตรวจสอบ หรือตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาเพื่อตรวจสอบทองคำที่ Fort Knox ว่า ยังคงมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่เหลืออยู่เท่าใด หรือที่มีอยู่เป็นแค่อิฐทาด้วยสีทอง
ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ นายสตีฟ มนูชิน รมว.คลังสหรัฐฯ เดินทางไปสำรวจทองคำสำรองที่ Fort Knox เพื่อแก้ข้อครหา แต่เหมือนเป็นการไปพีอาร์มากกว่า เพราะว่าไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบนับแท่งทองอย่างจริงๆ จังๆ
Bill Still ผู้สื่อข่าว และบรรณาธิการชาวอเมริกัน เชื่อว่า ไม่มีทองคำเหลืออยู่ที่ Fort Knox
ไอ้นิ้วทอง #4: หลังจากนั้นมีขบวนการอั้งยี่ที่ทำหน้าที่กดราคาทองให้ต่ำกว่าความเป็นจริงตลอด เพื่อไม่ให้ทองกลับมามีบทบาทในระบบการเงินโลกอีกต่อไป จะได้ไม่มากลบรัศมีของดอลลาร์กระดาษ
มีความเป็นไปได้หัวหน้าของขบวนการนี้ เป็นนายธนาคารกลางของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของธนาคารกลาง
มีรายงานเป็นระยะๆ ว่า BIS มีบทบาทสูงในการทุบราคาทอง โดยทำงานประสานกันกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางสวิส และธนาคารพาณิชย์ในเครือ โดยมีเจพี มอร์แกนมือปั่นรายใหญ่ผ่านตลาดค้าทองคำฟิวเจอร์ส
นอกจากนี้ยังมีการล้างสมองทางวิชาการการเงินเนื่องว่า ระบบมาตรฐานทองคำไม่เหมาะกับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพราะว่าจะเป็นข้อจำกัดของนโยบายการเงิน หรือการขยายตัวของเครดิต ทำให้จีดีพีไม่เติบโตเต็มศักยภาพ ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว เมื่อไม่มีทองคำคอยเป็นบรรทัดฐาน ทำให้ธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมีผลทำให้เกิดเงินเฟ้อ และวงจรบูม และพังทลายของตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจ
ย้อนกลับไปพิจารณารหัสลับของไอ้นิ้วทองว่าทำไมบอกว่าฤทธิ์ของระเบิดมหาประชัยทำงานได้เพียง 58 ปี
หนัง Goldfinger ออกฉายในวันที่ 17 กันยายน ปี ค.ศ. 1964 เมื่อบวกปี 1964 กับ 58 ปีจะได้ปี 2022 พอดี !!!
ในปี 2022 จะเห็นได้ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาซื้อทองคำกันขนานใหญ่ รวมกันถึง1,136ตัน นับเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 70 ปี ในขณะที่ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายสิบปี ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองรวมกันแต่ละปีแค่ 200-300 ตัน และมีหลายปีเป็นผู้ขายทองคำสุทธิด้วยซ้ำ เนื่องจากเห็นดอลลาร์กระดาษดีกว่าทองคำ ในปี 2005 ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ขายสุทธิ 700 ตัน
การที่ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาให้น้ำหนักกับทองคำ ต่างกับความนิยมในการถือครองดอลลาร์เป็นหลัก เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบการเงินสหรัฐฯ ที่มีการกดดอกเบี้ยต่ำ พร้อมกับการพิมพ์เงินแบบอีลุ่ยฉุยแฉกเป็นเวลา 14 ปีตั้งแต่หลังวิกฤตปี 2008 ทำให้เกิดฟองสบู่การเงิน พอถึงวงจรที่ต้องหันมาขึ้นดอกเบี้ย เพราะเกิดเงินเฟ้อจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้เกรงว่าระบบธนาคาร หรือระบบการเงินจะพัง
หลังจากที่มีการตะลุยซื้อทองคำปีที่แล้ว ทองคำเริ่มฉายแสงออกมาในปี 2023 นี้ ตามคำบอกใบ้ของไอ้นิ้วทองในหนัง Goldfinger โดยราคาทองสามารถยืนเหนือระดับ $2,000 ต่อออนซ์หลายครั้ง ท่ามกลางความกังวลใจการล่มสลายของหลายแบงก์ในสหรัฐฯ และการล้มละลายของธนาคารเครดิต ซูอิส
มองไปข้างหน้า หลังจากการล่มสลายของระบบดอลลาร์กระดาษ อังกฤษและสหรัฐฯ เตรียมการที่จะเปิดตัวเงินดิจิทัลโลก CBDC (Central Bank Digital Currency) เพื่อล้างหนี้เก่าทั้งหมด และเริ่มต้นระบบการเงินแบบดิจิทัลใหม่ โดยไม่มีทองคำหนุนหลังอยู่ดี
ต้องจับตาดูว่า ใครจะรับบทเป็นไอ้นิ้วทองคนต่อไป ที่จะทำลายทองคำ รวมทั้งสกัดเปโตรหยวนของจีน และความพยายามของกลุ่มบริกส์ที่จะออกเงินสกุลร่วมเพื่อออกจากอิทธิพลของดอลลาร์กระดาษ เพื่อว่าอังกฤษและสหรัฐฯ จะได้ครอบงำระบบการเงินโลกต่อไปผ่านเงินดิจิทัลโลก