จากนี้ไปอีกเดือนกว่าๆ ประเทศไทย ก็จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ ส.ส.และในขณะนี้พรรคการเมืองทุกพรรคต่างทุ่มเทหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน โดยการปราศรัยหาเสียงประกาศนโยบายขายความหวังแก่ประชาชนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่การใช้เงินจำนวนมหาศาล จากรายได้ของประเทศจากการเก็บภาษีทั้งภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและภาษีธุรกิจ
แต่จากการประกาศนโยบายขายฝันของพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคใหญ่ๆ ดูเหมือนจะไม่มีพรรคใดมีความชัดเจนว่าจะหาเงินมาจากไหน และมีมาตรการควบคุมการใช้เงินมิให้รั่วไหลดังที่ผ่านมาได้อย่างไร
ดังนั้น ประชาชนคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ และเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงตามทฤษฎีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนจะต้องสนใจรับฟังนโยบายของทุกพรรค โดยเฉพาะของพรรคซึ่งมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง และได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แล้วนำมาคิดถึงความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ในการนำนโยบายดังกล่าวไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม
ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า พรรคใดมีนโยบายชัดเจน และนำมาปฏิบัติให้เกิดผลตามที่บอกไว้ จึงค่อยเลือกพรรคนั้นแล้วนำมาคิดแล้วเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่เลือกพรรคนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งคนไทยทุกคนจะกระทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และของตนเอง รวมถึงของลูกหลานในอนาคตก็คือ จะต้องไม่เลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เคยมีประวัติโกงกินประเทศมาก่อน เพราะถ้าท่านเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองเช่นที่ว่านี้ ก็เท่ากับว่าท่านสนับสนุนให้คนและพรรคที่เคยโกงเข้ามาโกงอีกครั้งแน่นอน
อีกประการหนึ่ง ถ้าท่านฟังนโยบายแล้ว และคิดว่าไม่มีทางนำมาทำได้จริง ประกอบกับมองดูพฤติกรรมของนักการเมืองแล้วไม่มีใครพอจะเป็นตัวแทนท่านได้ก็กา X ช่องไม่เลือกจะดีกว่าเลือกแล้วต้องมาชุมนุมขับไล่ เมื่อคนและพรรคที่ท่านเลือกทำร้ายประเทศ และประชาชนด้วยการทุจริต คอร์รัปชัน
เกี่ยวกับเลือกหรือไม่เลือกพรรคการเมือง และนักการเมืองใดนั้นขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. พรรคการเมืองและนักการเมืองที่เคยมีประวัติเข้าไปเกี่ยวกับการทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม จะต้องไม่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชน ถ้าคนไทยทุกคนต้องการเห็นประเทศไทยเจริญก้าวหน้าปราศจากปัญหาคอร์รัปชัน
2. นโยบายของพรรคการเมืองใดมุ่งขายฝันเพื่อหวังชนะการเลือกตั้ง โดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ พรรคการเมืองไม่ควรได้รับเลือก ถ้าคนไทยไม่ต้องการเห็นประเทศไทยและคนไทยอยู่กับที่ และถอยหลังเมื่อกาลเวลาผ่านไป
ด้วยเหตุปัจจัย 2 ประการข้างต้น ท่านผู้อ่านคงจะมองเห็นแนวทางในการเลือก และไม่เลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองคนใด โดยให้มองข้ามสิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่เขาทำในปัจจุบัน แต่ให้มองถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยยึดหลักที่ว่าปัจจุบันเป็นผลของอดีต และอนาคตเป็นผลของปัจจุบัน พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ให้ย้อนไปดูสิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่เขาทำในอดีต แล้วนำมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ถ้าพบว่าสิ่งที่พูดไว้ในอดีตไม่มีผลเกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็แปลว่าเขาเพียงแต่พูด แต่ไม่ได้ทำหรือทำแล้วแต่ทำไม่ได้เหมือนที่พูด ดังนั้น อนุมานได้ว่าสิ่งที่เขาพูดในปัจจุบัน คงจะไม่มีผลใดๆ ในอนาคตหรือมีก็น้อยกว่าสิ่งที่พูด จึงไม่ควรเลือกพรรคการเมือง และนักการเมืองที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้