xs
xsm
sm
md
lg

“ภูมิใจไทย” กับอนาคตรัฐบาลสมัยหน้า/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

 “พรรคภูมิใจไทย” ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่ร่วมกับพรรคการเมืองใดที่คิดจะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งหมายความว่า หากพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หากพรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคก้าวไกลย่อมต้องไม่มีพรรคภูมิใจไทยมาร่วมรัฐบาล 


มีพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลชุดใด รัฐบาลชุดนั้นไม่น่าจะมีพรรคภูมิใจไทย

นอกจากนั้นหลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองหลักที่ยืนหยัดในการต่อต้านสารพิษการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ ไกลโฟเซต พาราควอต คลอร์ไพริฟอส  ซึ่งเป็นการต่อสู้อย่างหนักในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งในขณะนี้นักการเมืองที่พยายามผลักดันสารพิษการเกษตรให้กลับมาอีกครั้ง ก็ได้ย้ายออกจากพรรครัฐบาลไปยังพรรคการเมืองอื่นแล้ว

หากพรรคภูมิใจไทยไปร่วมกับรัฐบาลที่สนับสนุน 3 สารพิษทางการเกษตรอีกก็น่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นกับรัฐบาลสมัยหน้า และไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้อีกเช่นกัน

อีกประเด็นหนึ่งที่พรรคภูมิใจไทยได้ทำการขัดขวางความพยายามในการต่ออายุสัญญาสัมปทาน  รถไฟฟ้าสายสีเขียว  ไปอีก 30 ปี ขวางการเอื้อประโยชน์เอกชนรายเดิมแลกกับการชำระหนี้สินที่เกิดขึ้น โดยการต่ออายุสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้องเอาไว้แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ต่ออายุสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่สำคัญในการลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครทั้งระบบ เพราะเป็นเส้นทางที่เป็นใจกลางและกระดูกสันหลังของระบบรถไฟฟ้าที่คืนทุนค่าก่อสร้างให้ผู้รับสัมปทานไปหมดแล้ว การไม่ต่อสัญญาสัมปทานย่อมนำกำไรอย่างมหาศาลไปลดราคาค่าโดยสารทั้งระบบได้

 คำถามคือคนที่รับงานมาโจมตีพรรคภูมิใจไทยเพื่อไม่ให้กลับมาดูแลกระทรวงคมนาคมนั้น มีแผนที่จะเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อการเอื้อประโยชน์เอกชนในเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือไม่ ถ้ามีพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่จะคิดต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวก็คงจะขัดแย้งกับพรรคภูมิใจไทยอีกเช่นกัน 

แต่อีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้พรรคภูมิใจไทยจะต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ คือรัฐบาลชุดนั้นจะสนับสนุน  พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของพรรคภูมิใจไทยที่แก้ไขไปแล้วโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯหรือไม่

เพราะประเด็นกัญชานี้เป็นหัวใจหลักที่จะทำให้ มีกฎมายระดับพระราชบัญญัติในการใช้ประโยชน์ การควบคุม และการลงโทษในเรื่องกัญชา กัญชงอย่างเป็นระบบ โดยที่ไม่ต้องกลับไปเป็นยาเสพติดอีก

เพราะในช่วงเวลาที่ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดนั้น ได้ผ่านขั้นตอนในการให้คำแนะนำโดยคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงได้ลงนามปิดท้ายในการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดตามมติดังกล่าว

 การปลดล็อกในครั้งนั้นได้ทำให้ผู้ที่ใช้ “กัญชาทางการแพทย์” อย่างผิดกฎหมายกว่า 3.6 ล้านคน ไม่ต้องถูกจับกุม ไม่ต้องถูกรีดไถ และไม่ต้องเสี่ยงต่อสารพิษในการซื้อกัญชาใต้ดินอีกต่อไป 

กัญชามีประโยชน์แต่ก็ต้องให้ประชาชนเข้าถึง ส่วนที่มีโทษต่อเด็กเยาวชนก็ต้องมีกฎหมายควบคุมแต่การที่ไม่ได้มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติไม่ได้ถูกตราขึ้นมา ก็เพราะนักการเมือง เตะถ่วงกฎหมาย โดยการให้ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลรวมหัวกันไม่เข้าประชุมสภาจนสภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไม่ให้มีกฎหมายบังคับทั้งระบบหวังให้เกิดสถานการณ์กัญชาเสรีในระหว่างการหาเสียง คือคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเหนือผลประโยชน์ของประชาชน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้กัญชาเกิดภาวะเสรีแต่ประการใด เพราะกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยยอมแพ้ และได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขภายใต้อำนาจตามพระราชบัญญัติหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติอาหารพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มาประยุกต์ใช้ในการควบคุมกัญชา

ผลที่ตามาคือ กฎหมายที่ห้ามใส่ช่อดอกกัญชาในอาหาร ห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรกัญชาจากต่างประเทศ กำหนดหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายอาหารที่มีผสมกัญชาในร้านอาหาร, กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม, การขายช่อดอกกัญชาต้องได้รับอนุญาตทุกกรณี ห้ามจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี นิสิต นักเรียน นักศึกษา, ห้ามขายในวัดและศาสนสถาน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสนุก, ห้ามสูบทำให้เกิดกลิ่นและควันในที่สาธารณะทำให้เกิดความรำคาญ, ห้ามขายออนไลน์ห้ามเร่ขาย ห้ามขายผ่านเครื่องขาย ฯลฯ

แม้กฎระเบียบดังกล่าวจะมีอยู่แล้วโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งมีการใช้บังคับได้จริง โดยมีการตรวจ จับ ปรับ และดำเนินคดีความกับผู้กระทำความผิดไปแล้วจำนวนมาก แต่บทลงโทษก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับที่เตรียมเอาไว้ใน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ดังนั้นพรรคภูมิใจไทยจึงจะต้องเดินหน้าให้กฎหมายดังกล่าวได้ทำให้เสร็จสิ้นต่อไป

 อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาชาติ ได้ยืนยันในหลายโอกาสว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง  

ย่อมแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มที่พรรคภูมิใจไทยน่าจะร่วมกับพรรคการเมืองเหล่านี้ได้ยากในการจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้า ถึงร่วมกันได้ก็ไม่แน่ใจว่าหากเป็นรัฐบาลแล้วจะรักษาสัญญาหลังอดีตพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้วหรือไม่ โดยหลังจากได้เป็นรัฐบาลเสียงเกินครึ่งหนึ่งเพียงพรรคเดียวและได้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้วก็อาจมีความเสี่ยงไม่สนใจจำนวนมือของส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลแล้วก็ได้

จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าพรรคภูมิใจไทยอาจจะจับมือกับรัฐบาลขั้วเดิมมากกว่าโดยเงื่อนไขของกัญชานี้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านกัญชาในนโยบายหาเสียงอย่างชัดเชน

แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกพรรคการเมืองไหนในการเลือกตั้งในครั้งนี้ หากพรรคภูมิใจไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ มีอำนาจต่อรองเพียงพอหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนเท่านั้นว่าจะให้พรรคภูมิใจไทยสามารถไปดำเนินการในสิ่งเหล่านี้ต่อหรือไม่

แต่ถ้าประชาชนไม่ได้ให้โอกาสพรรคภูมิใจไทยมากพอ อันเป็นเหตุทำให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นฝ่ายค้านสิ่งที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นต่อไปก็น่าจะเป็นฝันร้ายของประชาชนต่อไปหรือไม่ กล่าวคือ

 สารพิษการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ ไกลโฟเซต พาราควอต คลอร์ไพริฟอส จะกลับมาให้ประชาชนได้เสี่ยงต่อสารพิษในสินค้าเกษตรที่อาจจกลับมาทำร้ายสุขภาพและชีวิตของเกษตรกรและประชาชนต่อไป

 โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะเกิดการเอื้อประโยชน์เอกชนผู้รับสัมปทานรายเดิม หรือต่อสัญญาสัมปทาน และทำให้รถไฟฟ้าไม่มีวันราคาถูกอย่างเป็นระบบต่อไป

 และสุดท้ายกัญชาแทนที่จะเป็นสมุนไพรควบคุม จะกลับมาเป็นยาเสพติดอีกครั้ง และผู้ที่ปลูกกัญชา หรือ ใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ส่วนใหญ่ใช้เองเพราะแพทย์ไม่ยอมจ่าย จะกลับไปเป็นอาชญากรอีกหรือไม่ 

ดังนั้นอนาคตพรรคภูมิใจไทยคือการกำหนดอนาคต ชะตาชีวิตผู้บริโภคต่อสารพิษการเกษตร อนาคตค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร และความหวังของกัญชา กัญชงเพื่อการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นต่อไปได้หรือไม่

อนาคตเหล่านี้อยู่ในมือพี่น้องประชาชนทุกคนในวันเลือกตั้งที่ 14 พฤษภาคม2566 นี้

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


กำลังโหลดความคิดเห็น