เห็นว่า...วันนี้นี่แหละ จันทร์ที่ 20 มี.ค.ไปจนวันพุธที่ 22 มี.ค.โน่นเลย ผู้นำจีนประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ท่านมีกำหนดการเดินทางไปเยือนกรุงมอสโก เพื่อพบปะ เจ๊าะแจ๊ะเจรจากับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ที่ถือเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” แบบชนิด “ไร้ขีดจำกัด”โดยว่ากันว่า...ไม่เพียงแค่หวังจะ “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ระหว่าง 2 ชาติเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายที่จะสร้าง “ความแน่นอน”ให้กับบรรดาประชาคมโลกที่กำลังตกอยู่ภายใต้ภาวะ “อัตราเสี่ยง”ไม่ว่าเรื่องหนึ่ง-เรื่องใดก็ตามที ดังนั้น...การพบปะระหว่าง 2 ผู้นำคราวนี้ ย่อมต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา”อยู่แล้วแน่ๆ!!!
คือนอกจากถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของ “สี ทนได้” หลังได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีจีนต่อไปอีกสมัยยังอาจถือเป็น “จุดเริ่มต้น”ของความพยายามนำเสนอ “แผนสันติภาพ”เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง “รัสเซีย-ยูเครน” หลังจากเพิ่งประสบความสำเร็จแบบสวยสดงดงามจากการเป็น “ตัวกลาง”สร้างสันติภาพให้กับ “ซาอุฯ-อิหร่าน”ที่ต้องกลายเป็น “ศัตรู-คู่กัด” กันและกันมานานนับทศวรรษ อันเนื่องมาจากยุแยงตะแคงรั่วของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอย่างอิสราเอลรวมทั้งชาติตะวันตกทั้งหลาย อีกทั้งยังพร้อมนำเอาแนวคิด แนวทาง ที่เรียกขานในนาม “ความคิดริเริ่มแห่งอารยธรรมโลก” (The Global Civilization Initiative) ซึ่งได้นำเสนอต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ช่วงวันพุธที่ผ่านมา (15 มี.ค.) ไปขยายผลให้เป็นที่รับรู้-รับทราบต่อโลกทั้งโลกควบคู่ไปด้วย และอาจด้วยเหตุประมาณนี้นี่เอง สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times”เขาเลยได้โหมประโคม ตีปี๊บ ตีกลอง ตีฉิ่ง ตีฉาบ ชนิดถือเป็น “ทริปแห่งสันติภาพ-แห่งมิตรภาพ-และแห่งความร่วมมือระดับโลก”เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ส่วนจะมีรายละเอียด เนื้อหา-สาระ เป็นไปดังที่สื่อจีนเขาได้ “สมรักษ์ คำสิงห์”ไว้มาก-น้อยขนาดไหน??? คงต้องคอยจับตาอย่างชนิดมิอาจกะพริบตากันต่อไป แต่เพราะด้วยความเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นนี้นี่เอง เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตชวนให้ลองไปให้ความสนใจต่อความขัดแย้งหลักๆ ของโลก โดยเฉพาะระหว่างพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว”หรือพวก “Unipolar World” อันประกอบด้วยคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกตลอดไปจนอิสราเอลเป็นแกนนำ กับพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ”หรือ “Multipolar World”อันมี 2 ผู้นำอย่างประธานาธิบดีจีนและรัสเซียเป็นตัวหลัก ว่าภายใต้ความขัดแย้ง แตกต่าง ในลักษณะที่ว่า เมื่อลอง “วัดช่วงชก” หรือ “ชั่งน้ำหนักแบบปอนด์ต่อปอนด์”แล้ว สุดท้าย..ใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ-เสียเปรียบ ใครจะ “กุนขแมร์”หรือใครจะเป็น “แม่ไม้มวยไทย” ที่สามารถออกหมัด-เท้า-เข่า-ศอก สามารถยกฝ่าตีนลูบหน้าฝ่ายตรงกันข้าม ได้แบบ “บัวขาว ป.ประมุข”กันแน่!!!
ซึ่งก็คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...เมื่อมาถึงขณะนี้ ณ วินาทีนี้ ฝ่ายมุมน้ำเงินหรือฝ่ายพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่ออเมริกา พันธมิตรยุโรป ไปจนคุณทวดอิสราเอลโน่นเลย ต่างออกอาการ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร”หรือแทบไม่อยู่ในฐานะจะทำศึก ทำสงคราม จะออกอาวุธใส่ฝ่ายตรงข้ามได้มากมายสักเท่าไหร่นัก อเมริกานั้น...แค่เจอกับแบงก์เจ๊ง เจอกับอัตราเงินเฟ้อที่กดยังไงก็กดไม่อยู่ เจอกับปริมาณอาวุธที่ร่อยหรอจนแทบไม่เหลือติดคลัง เมื่อเทียบกับช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ฯลฯ เพียงเท่านี้ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ผีแดง-เจอ-เป็ดแดง”หรือประมาณ “7-0 พูนสวัสดิ์”เมื่อเทียบกับสถานะฝ่ายตรงข้ามอย่างจีนและรัสเซีย ยิ่งบรรดาพันธมิตรชาติยุโรปก็แทบไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เพียงแบงก์อันดับ 17 ของยุโรป อันดับ 2 ของสวิส อย่าง “เครดิตสวิส” (Credit Suisse) ที่ออกอาการ “ถึงไม่ตาย-ก็เลี้ยงไม่โต”ขาดทุนป่นปี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 เพราะถึงแม้ “ใหญ่เกินกว่าจะยอมให้เจ๊ง”แต่โอกาสลุกลาม ลามปาม สร้างอาการ “ติดเชื้อ”ให้กับโลกทั้งโลกย่อมมีสิทธิเป็นไปได้ทุกเมื่อ...
ส่วนประเทศเสาหลักแห่งยุโรปอย่างเยอรมนีก็ดันกลายเป็นประเทศ “อาณานิคม”เราดีๆ นี่เอง!!! คือถึงแม้สินทรัพย์ของชาวเยอรมันอย่างท่อส่งแก๊ส “Nord Stream 1-2” ถูกพันธมิตรอเมริกาและเพื่อนใกล้เรือนเคียงวางระเบิดทำลายเอาดื้อๆ แต่กลับต้องกล้ำกลืน ฝืนทน ยอมเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้คุณพ่ออเมริกา แถมยังหันมาทำลาย “ระบบอุตสาหกรรม” ของตัวเองทั้งระบบ ขณะที่สุนัขพูเดิลอังกฤษ ต้องปล่อยให้ผู้คนอดมื้อ-กินมื้อ เด็กๆ เป็นโรคขาดอาหารนับเป็นล้านๆ ไปแล้วถึงขั้นนั้น อีกทั้งยังเจอการประท้วงลงถนน ของผู้คนพลเมืองไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าครู พยาบาล สหภาพแรงงาน ฯลฯ ไปจนสถานะ “ขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ”ไม่ว่าทั้งอังกฤษและเยอรมนี ต่างแทบไม่เหลือติดปลายนวมไปด้วยกันทั้งคู่ อันเนื่องมาจากต้อง “ส่งอาวุธ” ให้ยูเครน ตามการบีบบังคับของคุณพ่ออเมริกาและนาโตนั่นเอง ไม่ต่างไปจากฝรั่งเศสที่ถึงขั้นเกิดการ “จลาจล” อันเนื่องมาจากเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่อง“กฎหมายปฏิรูปบำนาญ” ที่ยังไม่ผ่านสภาฯ แต่ถูกรวบหัว รวบหางโดยประธานาธิบดี “มาครง คนหนุ่ม” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์ จนเกิดความสับสนวุ่นวาย ระดับที่ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายขวา อย่าง “นางMarine Le Pen” ต้องลุกขึ้นมาเสนอแนะให้ “ประธานาธิบดี...ลาออก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ยิ่ง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์”แห่งตะวันออกกลางของคุณพ่ออเมริกาอย่างอิสราเอล แม้ได้นายกรัฐมนตรีคนเดิมหวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรายใหม่ แต่ด้วยความคิดอันเต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ของ “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ที่หวังจะปฏิรูประบบยุติธรรมเพื่อช่วยผู้นำประเทศให้พ้นผิดจากข้อกล่าวหาเรื่องทุจริต-คอร์รัปชันเอาดื้อๆ ถึงกับส่งผลให้ประธานาธิบดีอิสราเอล “นายIsaac Herzog”ต้องออกมาระบุว่า ประเทศอิสราเอลทั้งประเทศกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะ “สงครามกลางเมือง”ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่ามองจากทิศไหน-ทางไหน ไม่ว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก”หรือ “แนวรบตะวันออกกลาง”ก็ตามบรรดาพวก “โลกขั้วเดียว”ทั้งหลาย ต่างกำลัง “เหี่ยวปลาย” กำลัง “สาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง”ยิ่งเข้าไปทุกที...
ขณะที่พวก “โลกหลายขั้วอำนาจ”อย่างคุณน้ารัสเซีย...ถึงจะถูก “คว่ำบาตร”จนบาตรแตกใบแล้ว-ใบเล่า แต่อย่างที่ประธานาธิบดี “ปูติน”ท่านได้นำตัวเลข สถิติ มาพูดจาว่ากล่าวกับบรรดานักอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในเวที “RSPP” (The Russia Union of Industrial and Entrepreneurs) เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (16 มี.ค.)นั่นแหละว่า แม้จะถูก “แซงชั่น”ระดับสุดโหด มหาโหด เพียงใดก็ตามที ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของรัสเซียก็ยังคง “ต่ำกว่า”บรรดาชาติยุโรปทั้งหลายไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า หรือเฟ้อแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แถมตัวเลขการค้าปลีกเพิ่มขึ้นอีกกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องมาจากการลดต่ำของอัตราเงินเฟ้อ ความมั่นคงของตลาดแรงงาน และการเพิ่มขึ้นของค่าจ้าง ฯลฯ อีกทั้งด้วยเหตุเพราะการแซงชั่นนี่แหละ ที่ทำให้ผลกระทบของวิกฤตการเงิน-การธนาคารไม่ว่าในอเมริกา-ยุโรป แทบไม่ส่งผลต่อรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย หรือกลายเป็น “พรที่ซ่อนเร้น”(A Blessing in disguise) ดังที่ผู้ว่าการธนาคารกลางรัสเซีย “นางElvira Nabiullina” เธอให้คำนิยามเอาไว้ประมาณนี้ ด้วยเหตุนี้...เลยไม่น่าแปลกใจมากมายสักเท่าไหร่ ที่ผลสำรวจความคิด-ความเห็นของบรรดาชาวหมีขาวทั้งหลาย โดยสำนักวิจัย “VCIOM” (The Russia Public Opinion Research Center) ช่วงวันศุกร์ (17 มี.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ถึงต้องสรุปว่าความมั่นอก-มั่นใจ ความเชื่อมั่นที่ชาวรัสเซียมีต่อผู้นำของตัวเอง เลยสูงปรี๊ดด์ด์ไปถึงขั้นระดับ 79.7 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนคุณพี่จีนแทบไม่ต้องพูดถึง...แม้จะเจอกับสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี หรือสงครามอะไรต่อมิอะไรมาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” จนแม้ยุค “โจ ซึมเซา” ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ แต่อัตราการเติบโตเศรษฐกิจประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์กว่าๆเมื่อปีที่แล้วก็ถือว่า “ใช้ได้” เมื่อเทียบกับการมองโลกในแง่ร้ายของสื่อตะวันตกทั้งหลาย ส่วนปีนี้พญามังกรท่านตั้งเป้าไว้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ขณะตัวเลขเงินเฟ้อแทบไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ อีกต่อไป อีกทั้งการ “เทขาย” พันธบัตรสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอลดลงไปถึง 34.1 เปอร์เซ็นต์ ตลอดระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ยังช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตการเงินระดับโลกที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้วในโลกตะวันตก ชนิดที่นักค้าหุ้นระดับโลก หรือ “CEO”แห่งบริษัท “Euro Pacific Capital Inc” อย่าง “นายPeter Schiff” ที่เคยทำนายทายทักถึงวิกฤตการเงินปี ค.ศ. 2008 แบบชนิดแม่นยำราวตาเห็น ต้องออกมาส่งเสียงตะโกนเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมาว่า “The 2023 Financial Crisis has Begun” หรือวิกฤตการเงินปี 2023 ได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว!!! อะไรประมาณนั้น...
ด้วยเหตุนี้...แม้มองลึกลงมาถึง “แนวรบทะเลจีนใต้” ก็เถอะ ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดของนักคิดนักข่าวชาวอเมริกันและวิทยากรรายการทีวีอย่าง “นายBradley Blankenship” ว่าด้วยเรื่อง “Whether in Europe or Asia-Pacific, Uncle Sam is ready to screw over his friends for profit”ก็น่าจะพอสรุปได้ ว่าไม่ว่า “ดาวยั่ว”อย่างไต้หวันที่พยายามยั่วยวนกวนส้นตีนคุณพี่จีนมาโดยตลอด ชนิดไม่ต่างไปจาก “ยูเครน 2” สุดท้ายแล้ว...ก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกพันธมิตรอย่าง “ลุงแซม”ปอกลอก ล่อลวง ให้ซื้ออาวุธเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทอาวุธอเมริกันนั่นแหละเป็นหลัก กระทั่งพันธมิตรอเมริกาด้านใต้สุดอย่างออสเตรเลียก็ตาม ถ้าลองเปิดหู-เปิดใจรับฟังคำพูด คำจา ของอดีตนายกฯ ออสเตรเลีย “นายPaul Keating”ที่ได้สรุปไว้ว่า การร่วมเป็นพันธมิตร “AUKUS” ของออสเตรเลียนั้น ถือเป็น “ข้อตกลงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย” เอาเลยถึงขั้นนั้น ก็ยิ่งมองไม่เห็น “ข้อได้เปรียบ”ใดๆ ของพวก “โลกขั้วเดียว” ในแนวรบด้านนี้อีกนั่นแหละ...
ดังนั้น...เมื่อมาถึงขั้นนี้ คงหนีไม่พ้นต้องย้อนไปนำคำพูดของผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ปี ค.ศ. 2016 ระหว่างช่วงครบรอบ 95 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน มารีวายน์ไว้ใหม่อีกสักรอบ นั่นคือคำพูดที่ว่า... “โลกกำลังอยู่ริมขอบแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยเรากำลังได้เป็นประจักษ์พยานแห่งการล้มละลายของกลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่าง EU และกำลังได้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะล่มสลายได้อย่างไร? และนี่เอง...ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกแบบเดิม โดยในอีกช่วงประมาณ 10 ปีนับจากนี้ เราจะมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ อันมีกุญแจสำคัญที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา นั่นก็คือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซีย...”จริง-ไม่จริง ก็ลองไปคิดเอาเองก็แล้วกัน...