xs
xsm
sm
md
lg

กรณีศึกษา ร้านขายกัญชาเพื่อนันทนาการในโรงแรมของชูวิทย์ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ชูวิทย์” กวาดผลิตภัณฑ์กัญชาในร้าน  “Dispensary 24” หล่นกระจาย หลัง จนท.สธ.บุกตรวจค้น
 ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ร้าน  Chuweed bar ซึ่งเป็นร้านขายช่อดอกกัญชาเพื่อนันทนาการ ทั้งชื่อและโลโก้สะท้อนให้เห็นว่าเป็นร้านขายกัญชาซึ่งนำเสนอชื่อและภาพคุณชูวิทย์เป็นจุดขายโดยเฉพาะ คุณต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ เป็นบุตรชายได้โพสต์โฆษณาในเพจของตัวเองเป็นหลักฐานอย่างชัดเจน

คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อ้างว่าร้านขายช่อดอกกัญชาแห่งนี้ เป็นความประสงค์ของบุตรชายที่ต้องการเปิดขายกัญชาเพื่อนันทนาการ แต่คุณชูวิทย์กลับอ้างว่าที่ต้องปิดไปก็เพราะทนไม่ได้ที่เห็นเด็กและเยาวชนเข้ามาซื้อกัญชา จึงต้องปิดร้าน Chuweed bar ไปในที่สุด

และถ้าตัดประเด็นลีลาการนำเสนอ โหวกเหวกโวยวาย ของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ออกไป เราจะเหลือแก่นคำถามที่นักข่าวในวันดังกล่าวถูกเบี่ยงเบน กลบเกลื่อนประเด็นไป โดยไม่ได้สอบถาม ดังต่อไปนี้

 คำถามแรก ร้าน Chuweed bar ของครอบครัวคุณชูวิทย์ปิดไปจริงหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงทั้งบุหรี่และเหล้า ซึ่งเสพติดยากกว่าและมีโทษมากกว่ากัญชาสามารถขายได้ตามร้านสะดวกซื้อ แต่มีกฎหมายในการควบคุมเด็กและเยาวชนเหมือนกัญชา

พลันที่มีเด็กนักเรียน เยาวชนไปซื้อเหล้าและบุหรี่ ร้านสะดวกซื้อที่ขายเหล้าและบุหรี่เหล่านี้ก็เพียงแค่ตรวจบัตรประชาชนและไม่ขายให้จริงหรือไม่ ไม่มีร้านสะดวกซื้อที่ไหนต้องปิดร้านเพียงเพราะมีเด็กและเยาวชนมาซื้อเหล้าและบุหรี่ จริงหรือไม่?

ดังนั้น ร้าน Chuweed bar ที่จัดขึ้นมาในโรงแรมของคุณชูวิทย์ จึงแค่ตรวจบัตรประชาชนและไม่ขายช่อดอกกัญชาให้เด็กเยาวชนเหมือนกับร้านสะดวกซื้อ จึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลว่าต้องปิดไปเพราะห่วงเด็กเยาวชน

เพราะความจริง “ช่อดอกกัญชา” ซึ่งมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ให้ช่อดอกกัญชาเป็น “สมุนไพรควบคุม” ได้ห้ามขาย หรือให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่แรกอยู่แล้วจนถึงปัจจุบัน

คำถามคือด้วยมโนสำนึกของร้าน Chuweed bar เมื่อมีเด็กเยาวชนมาเข้าในร้านแล้ว ได้มีการจำหน่ายให้เด็กและเยาวชนหรือไม่ หากมีการขายไปสำเร็จจริงแล้วย่อมแปลว่าร้าน Chuweed bar ได้กระทำผิดหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายช่อดอกกัญชาให้กับเด็กและเยาวชนแล้ว

 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าร้าน Chuweed bar “ไม่เคยได้รับใบอนุญาต”ให้จำหน่ายกัญชาหรือช่อดอกกัญชากับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขมาก่อนด้วย โดยเฉพาะหากมีการจำหน่ายกัญชาให้กับเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมมีบทลงโทษตามมาตรา 78 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ต้องระวางโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีเด็กและเยาวชนเข้ามาในร้าน Chuweed bar ถ้าพนักงานร้านไม่ขายให้ ก็แสดงว่าพนักงานร้านChuweed bar ย่อมเข้าใจกติกาในฐานะช่อดอกกัญชาเป็น “สมุนไพรควบคุม” ไม่ใช่ “สมุนไพรเสรี”และห้ามจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

แต่ตรรกะดังกล่าวว่าคุณชูวิทย์ “ปิดร้าน” ขายกัญชาที่ร้าน Chuweed bar เพราะห่วงเยาวชน จะย้อนแย้งกับ “คำถามที่สอง” ตามมาดังต่อไปนี้

 คำถามที่สอง คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อ้างว่าอีกอาคารหนึ่งของโรงแรมของ“ครอบครัวกมลวิศิษฎ์” มีร้านขายช่อดอกกัญชา “เพื่อนันทนาการ” ชื่อร้าน “Dispensary 24” โดยอ้างว่าไม่ใช่ร้านขายกัญชาของตนเอง แต่เป็นผู้ที่มาขอเช่าพื้นที่ในโรงแรมของคุณชูวิทย์

แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ร้าน “Dispensary 24” ที่คุณชูวิทย์ให้สัมภาษณ์นักข่าวอ้างว่าเป็นของคนอื่นที่มาเช่าพื้นที่ในโรงแรม แต่คุณชูวิทย์ได้ใช้สิทธิอะไรกวาดล้มผลิตภัณฑ์กัญชาที่เคาน์เตอร์ร้าน (ซึ่งอ้างว่าไม่ใช่ของตัวเอง) ลงกับพื้นเพื่อแสดงอารมณ์ว่าโกรธที่เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขมาตรวจร้าน หรือความจริงเป็นการกลบเกลื่อนในประเด็นที่นักข่าวควรจะต้องถามหรือไม่

เพราะไม่ว่าร้าน “Dispensary 24” ในโรงแรมของคุณชูวิทย์ จะเป็นของครอบครัวคุณชูวิทย์เองจริงๆ หรือเปิดร้านให้เช่าในโรงแรมของคุณชูวิทย์ หรือประเด็นจะอยู่ที่เจ้าหน้าที่รัฐมาตรวจเพราะกลั่นแกล้งจริงหรือไม่ ก็ยังไม่ใช่สาระสำคัญ

แต่สาระสำคัญของประเด็นนี้คือ ถ้าคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ “ปิด” ร้าน Chuweed bar เพราะห่วงเด็กเยาวชน ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นของตัวเองย่อมสั่งการย้ำให้พนักงานไม่ขายให้เด็กเยาวชนตามกฎหมายได้ จริงหรือไม่?

แต่โรงแรมของคุณชูวิทย์กลับปล่อยเช่าพื้นที่ร้าน “Dispensary 24” ให้มาขายกัญชาเพื่อนันทนาการในโรงแรมของตัวเอง แล้วจะมาอ้างว่าต่อต้านกัญชาเสรีเพราะห่วงเด็กและเยาวชนได้อย่างไร?

เพราะจนถึงปัจจุบันร้าน “Dispensary 24” ซึ่งเป็นร้านขายช่อดอกกัญชาเพื่อ“นันทนาการ” ยังคงให้บริการอยู่ในโรงแรมของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์อยู่จนถึงปัจจุบัน จริงหรือไม่?

. Chuweed bar ที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ของครอบครัวนายชูวิทย์เปิดให้บริการเชิงสันทนาการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม


 คำถามคือร้าน “Chuweed bar” หรือ ร้าน “Dispensary 24” ในโรงแรมของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นกัญชาเพื่อทางการแพทย์ หรือเพื่อนันทนาการกันแน่ และร้าน“Dispernary 24” ที่ขายเพื่อมวนสูบนั้น ได้ขายเฉพาะผู้มีใบสั่งยาจากแพทย์หรือไม่?

 ที่ต้องถามเช่นนี้เพราะคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รณรงค์ให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เท่านั้น ห่วงเด็กและเยาวชน แต่เหตุใดยังเปิดร้านขายช่อดอกกัญชาเพื่อนันทนาการการกระทำมันย้อนแย้งกับสิ่งที่รณรงค์อยู่หรือไม่?

คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คัดค้านกัญชาเสรี จึงจะรณรงค์ให้ไม่เลือกพรรคภูมิใจไทยโดยที่อ้างว่าห่วงเด็กเยาวชน แต่คุณชูวิทย์กลับมีร้านขาย “ช่อดอกกัญชา” เพื่อนันทนาการอยู่ในโรงแรมของตัวเอง ทั้งของลูกชาย และเปิดให้เช่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

 ส่วนผม ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่มีร้านกัญชา ไม่มีผลิตภัณฑ์กัญชาของตัวเอง และไม่ได้ปลูกกัญชาแม้แต่ต้นเดียว มีแต่การวิจัย และรณรงค์ให้ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ (เพราะแพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา)สามารถมีกัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองได้ แต่ให้มีกฎหมายควบคุมในระดับเหล้าและบุหรี่ (รวมถึงการควบคุมเรื่องเด็กและเยาวชน) และไม่ต้องกลับไปเป็นยาเสพติดอีก

ผมเดินต่อสู้เรื่องกัญชา ตั้งแต่ปี 2561 ในเรื่องการเรียกร้องสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติที่มาจดทะเบียนในประเทศไทย แต่คนไทยกลับห้ามใช้เพราะอ้างว่าเป็นยาเสพติดจนกฎหมายเริ่มคลายล็อกเรื่องกัญชามาเป็นลำดับ

ผมได้มีส่วนเรียกร้องในเรื่องน้ำมันกัญชาให้กับแพทย์พื้นบ้าน ทวงคืนตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาซึ่งห้ามใช้มาหลายสิบปี จนกระทั่งได้ต่อสู้ด้วยหลักฐานงานวิจัยในเวทีต่างๆ และมีส่วนที่ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี) มีมติให้ต้นกัญชาไม่เป็นยาเสพติดอีก ยกเว้นสารสกัดกัญชาที่มีสาร THC เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก

ผมได้ถูกเชิญไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ได้มีโอกาสแลกทัศนะความเห็นแตกต่าง จนคณะกรรมาธิการฯเสียงข้างมาก (จากแทบทุกพรรคการเมือง) มีทิศทางในการควบคุมช่อดอกกัญชาในระดับที่เข้มกว่าเหล้าและบุหรี่แต่ไม่ถึงขั้นเป็นยาเสพติด

เนื่องด้วยกัญชาเสพติดยากกว่าและมีประโยชน์กว่าเหล้าและบุหรี่อย่างมหาศาล และข้อสำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ด้วยเพราะอคติ ข้อบ่งใช้ที่คับแคบ ความยุ่งยากในการจ่ายยา และผลประโยชน์ทับซ้อนของแพทย์ ฯลฯ

ผมได้ทำความเข้าใจและชี้แจงถกเถียงเรื่องกัญชาตามวาระอันสมควรในสภาผู้แทนราษฎร จนสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างกฎหมายของคณะกรรมาธิการฯเสียงข้างมากทุกมาตรามาเป็นลำดับ แต่ที่น่าเสียดายคือการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ไม่แล้วเสร็จในสภาผู้แทนราษฎรสมัยนี้

ผมได้เห็นนักการเมืองที่พยายามผลักดันให้มีกฎหมายกัญชา กัญชง ในการใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเห็นด้วย แก้ไข หรือไม่เห็นด้วย พวกผมที่อยู่ในคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากก็จะยอมรับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นกลไกตามครรลองของฝ่ายนิติบัญญัติ

ดังนั้นผมขอขอบคุณพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญในการเป็นองค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคพลังท้องถิ่นไทย, พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคพลังธรรมใหม่, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน

เพราะถ้าเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยก็ต้องลงมติให้แก้ไข เพื่อให้มีกฎหมายออกมาเพื่อใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ แต่นักการเมืองจำนวนไม่น้อยของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น กลับใช้วิธีเตะถ่วงกฎหมายและไม่เข้าเป็นองค์ประชุมทำให้สภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไม่ให้มีกฎหมายใช้ประโยชน์และควบคุมกัญชาอย่างเป็นระบบ

คำถามคือร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ซึ่งเป็นกฎหมายที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมากทำการแก้ไข มีคณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย และ ส.ส.แทบทุกพรรคการเมืองได้สงวนคำแปรญัตติที่มีความเห็นแตกต่างจากคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก แต่พรรคที่อ้างว่าห่วงเด็ก เยาวชน กับเตะถ่วง เตะตัดขา ไม่เข้าประชุมเพื่อให้สภาล่มจนสภาผู้แทนราษฎรหมดวาระลงไป

ถามว่าใครกันแน่ที่พยายามที่จะให้กัญชาเสรี เพื่อเป็นเหตุอ้างในการโจมตีพรรคภูมิใจไทยก่อนการเลือกตั้ง และการกระทำเช่นนี้ต่างหากที่เห็นประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าเห็นประโยชน์ของประชาชน

อย่างไรก็ตามในขณะที่กฎหมายล่าช้าถูกเตะถ่วง จนสภาผู้แทนราษฎรกำลังจะหมดวาระลงในอีกไม่นานนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ประกาศให้ช่อดอกกัญชาเป็น “สมุนไพรควบคุม”

ซึ่งผู้ที่จะขาย ให้ หรือแปรรูป ช่อดอกกัญชา จะต้องได้รับใบอนุญาตทุกราย และได้นำการควบคุมที่อยู่ในร่างกฎหมายกัญชา กัญชงของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง มาประยุกต์ทั้งหมดในเงื่อนไขของผู้ได้รับอนุญาต

ซึ่งรวมถึง การห้ามขายและให้เด็ก เยาวชน สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร, ห้ามขายในศาสนสถาน ห้ามขายออนไลน์ ห้ามขายผ่านเครื่องขาย ห้ามโฆษณา ห้ามสูบในสถานที่ได้รับใบอนุญาตยกเว้นโดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์(ในสถานพยาบาลตามกฎหมาย) ฯลฯ

เมื่อผนวกกับกฎหมายที่เข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขที่มีมาก่อนหน้านั้น เช่น การห้ามสูบในที่สาธารณะ การห้ามใส่ช่อดอกกัญชาในอาหาร การควบคุมร้านอาหารที่มีกัญชา ส่วนผลิตภัณฑ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ยา กระทรวงสาธารณสุขมีกฎหมายที่ควบคุมดูแลในระดับที่มีความปลอดภัยอยู่แล้วแน่นอนควบคุมโดยองค์การอาหารและยา(อ.ย.)

ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า กฎกติกาของกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยให้มีกัญชาเสรี มีแต่การให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ แต่มีกฎหมายควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเช่นเดียวกับเหล้าและบุหรี่

 คุณชูวิทย์ มีความเชื่อว่า “กฎกระทรวง” ในเรื่องกัญชา นั้นมีความ “คลุมเครือ” ไม่สามารถบังคับใช้ได้ และไม่ควรโยนภาระให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพียงเพราะคุณชูวิทย์มีอคติต้องการโจมตีพรรคภูมิใจไทยเป็นเป้าหมายจริงหรือไม่?

 แต่ในความจริงกฎหมายที่ใช้ควบคุมกัญชาในขณะนี้ “ไม่ใช่กฎกระทรวง” แต่ “เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข” ที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติทั้งสิ้น และมีบทลงโทษตามกฎหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า กฎหมายไม่ได้คลุมเครือและสามารถบังคับใช้ได้จริงก็คือข้าราชการในกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขได้เดินทางตรวจร้านขายกัญชาในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2565 - 7 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ถูกดำเนินคดีในโทษทุกสถาน 16 ราย ตั้งแต่ ริบของกลางปรับ พักใบอนุญาต และจนถึงโทษจำคุก 2 เดือน, และในต่างจังหวัดก็มีผู้ถูกดำเนินคดีในโทษทุกสถานอีก 15 ราย ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนที่จะเข้าตรวจร้านขายกัญชาที่โรงแรมของคุณชูวิทย์เสียอีก

ผมทราบไปมากกว่านี้ว่ากระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมระดมการตรวจมากกว่านี้ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และประสานไปยัง ส.ส.จ. ในแต่ละจังหวัด เพื่อทำให้เกิดการตรวจเพื่อบังคับใช้กฎหมายมากกว่านี้

ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าประกาศกระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้ได้จริง และมีบทลงโทษไปแล้วจริง

หรือกว่าครึ่งปีแล้ว : ภาพจากเฟซบุ๊ก Channel Weez Thailand
แน่นอนว่าปัญหาปัจจุบันยังคงมีผู้ละเมิดกฎหมายอยู่มาก เช่น การลักลอบกัญชานำเข้าจากต่างประเทศ การขายช่อดอกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นอีกปัญหาหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสัญญาณให้ร้านขายกัญชารู้ตัวก่อนบ้าง หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือบ้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยปละละเลยบ้าง เจ้าหน้าที่รับส่วย ฯลฯ

ซึ่งปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐไม่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้เกิดปัญหากับกัญชาเท่านั้นแต่ยังเกิดกับอีกหลายกรณี เช่น พนันออนไลน์, บุหรี่ไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งแม้จะมีกฎหมายควบคุมเช่นกัน แต่หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อให้จะมีกฎหมายอย่างไรก็คงเกิดปัญหาไม่แตกต่างกัน

 ข้อสำคัญการต่อสู้ของภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวปลดล็อกกัญชาเข้าปีที่ 5 แล้ว แต่เราไม่เคยเห็นคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ออกมาต่อสู้ร่วมกับภาคประชาชนมาก่อนหน้านี้เลย และผมก็จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องการเสียสละต่อสู้ของภาคประชาชนในรอบหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน

 แต่วันนี้คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้เปิดร้านขายช่อดอกกัญชาเพื่อนันทนาการในโรงแรมตัวเอง กลับจะมาเป็นผู้ห่วงเยาวชน หรือทำให้กัญชาต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น อีกทั้งกล่าวหาว่าประกาศกระทรวงสาธารณสุขคลุมเครือ ซึ่งขัดแย้งกับสภาพข้อเท็จจริงไปอย่างมาก

ผมเห็นข้อมูลที่คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้พูดผ่านสื่อฝ่ายเดียวในเรื่องกัญชา มีความผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมควรจะได้ตื่นรู้ ถอดบทเรียน และมีข้อสรุปในเรื่องกัญชาร่วมกัน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ

 เพื่อประโยชน์ทางสาธารณะในการเรียนรู้เรื่องกัญชา ผมจึงขอเชิญคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาดีเบตกับผม ในเวลาเท่าๆกั นของแต่ละฝ่ายในที่สาธารณะจนกว่าจะสิ้นกระแสสงสัย เพื่อการเรียนรู้ของสังคมว่าประเทศไทยควรจะได้รับทราบความจริงในเรื่องกัญชาร่วมกัน

 หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์จะตอบรับคำเชิญนี้

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
9 มีนาคม 2566


กำลังโหลดความคิดเห็น