หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
พรรคก้าวไกลหาเสียงด้วยคำขวัญว่า เลือกพรรคก้าวไกลประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม คำนี้อาจสร้างความหวังจากคนบางคนบางกลุ่มที่เป็นสาวกของพรรคก้าวไกล แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความหวั่นไหวให้กับคนไม่น้อยว่า ประเทศไทยที่มีความเป็นอยู่ที่ดีอยู่แล้ว หากจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้วมันจะยังคงเป็นประเทศไทยที่น่าอยู่หรือไม่
น่าสนใจมากว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลจะประสบความสำเร็จมากเพียงไหน ต้องยอมรับว่าครั้งที่แล้วในนามของพรรคอนาคตใหม่นั้น พรรคได้กระแสธนาธรฟีเวอร์ในหมู่คนรุ่นใหม่ และผลพวงจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ เพราะในเขตเลือกตั้งที่พรรคไทยรักษาชาติลงสมัครพรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งลง คนในฝั่งเดียวกันก็เลยเทคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่ แต่ครั้งนี้พรรคก้าวไกลนำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และสำคัญที่สุดคือพรรคเพื่อไทยกำลังปลุกกระแสแลนด์สไลด์มวลชนในฝั่งเดียวกันเพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล หากเป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยต้องการพรรคก้าวไกลก็อาจจะได้รับเลือกตั้งน้อยลง
ตอนนี้ดูเหมือนสิ่งที่พรรคก้าวไกลหนักใจก็คือ คนในฝั่งที่ไม่เอาประยุทธ์นั้นต้องการเปลี่ยนขั้วการเมือง และอาจเลือกแบบยุทธศาสตร์คือเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วการเมืองให้ได้ หรือไม่ก็อาจจะลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกลบางเขต แต่ในแบบเขตนั้นเขาจะเลือกพรรคเพื่อไทยซึ่งอาจทำให้พรรคก้าวไกลได้ส.ส.เขตน้อย
ส่วนในบัญชีรายชื่อแบบบัตรสองใบนั้นโอกาสไม่เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่แล้วที่แม้เขตไหนก้าวไกลไม่ชนะแต่ก็มีคะแนนเป็นอันดับสองอันดับสามคะแนนเหล่านั้นไม่ถูกทิ้งน้ำทำให้พรรคอนาคตใหม่ในตอนนั้นได้ส.ส.บัญชีรายชื่อมาก ปิยบุตร แสงกนกกุลจึงคาดว่าหากปล่อยให้สภาพแบบนี้เกิดขึ้นพรรคก้าวไกลจะได้ส.ส.รวมกันไม่เกิน 30 คน ดังนั้นต้องสร้างความแตกต่างกับพรรคเพื่อไทยให้ได้ว่า พรรคก้าวไกลนั้นเป็นพลังใหม่ แต่พรรคเพื่อไทยนั้นเป็นพลังเก่า
ปิยบุตรจึงออกมาวิจารณ์บทบาทของพิธาที่ไม่ได้ดังใจเหมือนกับธนาธร ทำให้ทั้งสองคนออกมาโต้กันผ่านโซเชียลจนต้องไปดื่มเมรัยแล้วปรับความเข้าใจกันโดยธนาธรเป็นตัวกลาง แล้วนำมาสู่การปรับแผนโดยแต่งตั้งทีมอนาคตใหม่เดิมมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลทั้งธนาธร ปิยบุตร และช่อผกา วาณิช
เมื่อปิยบุตรกลับมามีบทบาทในพรรคอีกครั้งเราจึงต้องศึกษาความคิดของปิยบุตรว่า หากพวกเขาประสบความสำเร็จประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอย่างไร
ปิยบุตรบอกว่า นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ทยอยเปิดออกมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นเพียง “นโยบาย” ที่พรรคก้าวไกลให้คำมั่นสัญญากับประชาชนว่าหากเป็นแกนนำรัฐบาล จะเร่งทำโดยทันที แต่เพียงเท่านั้น หากมันยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรณรงค์เปลี่ยนความคิดผู้คนให้ตระหนักว่า กินยาพาราแก้ปวดเป็นครั้งคราวไม่ได้ แต่ต้องรื้อใหม่ ทำใหม่ ขนาดใหญ่ ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบสามเดือนของการหาเสียงนับจากนี้ คือ ห้วงเวลาสำคัญในการเชิญชวนให้คนจำนวนมากหันมาเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้อง…ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 ทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ นิรโทษกรรมเยาวรุ่นที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่ปี 63 ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาล ระบบราชการ ระบบงบประมาณฯลฯ
นอกจากนั้นสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องคือให้ยกเลิกมาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายปกป้องพระมหากษัตริย์ที่ประมุขของประเทศไม่ให้ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาทและอาฆาตมาดร้าย เหมือนกับกฎหมายสากลที่มีอยู่ทั่วโลกที่ใช้ปกป้องประมุขของประเทศต่างๆ แต่พวกเขามักอ้างว่าแม้ประเทศต่างๆ จะมีกฎหมายปกป้องประมุขเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยถูกนำมาบังคับใช้ ซึ่งจริงๆ แล้วมาตรา 112 ก็ไม่ค่อยถูกนำมาบังคับใช้ในอดีต แต่เมื่อมีคนดูหมิ่น หมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์มากขึ้น กฎหมายก็ต้องบังคับใช้อยู่ดี
ส่วนการปฏิรูปกษัตริย์ในความหมายของปิยบุตรนั้นเขาเคยกล่าวไว้เป็นข้อๆ ดังนี้
1.กำหนดพระราชสถานะประมุขของรัฐ ศูนย์รวมจิตใจ และความเป็นกลางทางการเมือง
2. กำหนดพระราชอำนาจ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันพระมหากษัตริย์ในการไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในการกระทำใดบ้าง โดยเขียนในภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความว่าอำนาจเป็นของพระมหากษัตริย์หรือของคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องถกเถียงกันว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในทางการเมืองหรือการบริหารราชการแผ่นดินโดยแท้หรือไม่ แต่เขียนชัดเจนเลยว่า พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในเรื่องต่างๆ โดยต้องทำตามความเห็นชอบของรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี โดยนำแบบอย่างมาจากรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น
3. เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ให้เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
4. ยกเลิกองคมนตรี
5. เปลี่ยนแปลงกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ โดยย้อนกลับไปใช้แบบเดียวกันกับกระบวนการก่อนรัฐธรรมนูญ 2534 กล่าวคือ การเสนอพระนามองค์รัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ
6. กำหนดให้พระมหากษัตริย์และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่
7. กำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์ต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียใหม่ ให้สภาผู้แทนราษฎรเข้ามามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบเหมือนรัฐธรรมนูญ 2475 และ 2489
8. กำหนดระบบเงินรายปีแก่พระมหากษัตริย์ โดยให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการกำหนดวงเงินและอนุมัติ และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบการใช้จ่ายเงินรายปีและรายงานให้สภาผู้แทนราษฎรทราบ
9. ยกเลิกการลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า ให้คงไว้เพียงการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยและอำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น อันได้แก่ รัฐมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ตุลาการศาลปกครอง และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
10. ยกเลิกพระราชอำนาจในการยับยั้งการลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา
ข้อเรียกร้องของพวกเขาโดยการอ้างปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แท้จริงแล้วเป็นเพียงขั้นบันไดที่พวกเขาต้องการสิ่งที่มากกว่านั้นแน่นอนสิ่งที่เขาต้องการมากกว่านั้นเช่นที่ ปิยะบุตรมักกล่าวเสมอคือ การห้ามพระมหากษัตริย์แสดงพระราชดำรัสต่อประชาชน ซึ่งเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชนอย่างสิ้นเชิงเป็นไปตามแผนที่ค่อยๆลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน
ดูเหมือนสิ่งที่พิธาขัดใจกับปิยบุตรก็คือการไปแสดงถึงแนวทางเหล่านี้ออกมาให้แจ่มชัด เพราะมัวแต่ไปแสดงนโยบายประชานิยมแข่งกับพรรคการเมืองอื่น ซึ่งปิยบุตรมองว่าไม่สามารถดึงดูดให้คนมาเลือกพรรคก้าวไกลได้ และพิธาไม่แสดงออกถึงความชัดเจนถึงเป้าหมายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในเชิงโครงสร้างที่ท้าทายระบอบของรัฐในปัจจุบัน เพื่อจะเป็นพลังใหม่ที่เปลี่ยนแปลงสังคมเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการเมืองแบบเก่า
วันนี้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยถูกล้างสมองจากพรรคก้าวไกลไปแล้ว และพร้อมจะเดินตามไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะพาไปทางไหน และพร้อมจะออกไปเลือกโดยไม่สนใจหรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พรรคก้าวไกลส่งสมัครนั้นเป็นใครมาจากไหน คนรุ่นใหม่ที่ออกมามาท้าทายบนท้องถนนทลายเพดานของสังคมไทยก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคก้าวไกลที่คอยดูแลเมื่อคนเหล่านั้นถูกดำเนินคดี
เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลน่าจะประสบความสำเร็จสูงในเขตกรุงเทพมหานคร หรือเขตหัวเมืองใหญ่ หรือในเขตเลือกตั้งที่ 1 ในหลายจังหวัด ทำให้พิธามั่นใจว่า เขาจะได้ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย พิธาบอกว่า พรรคก้าวไกลก็พร้อมที่จะร่วมมือกับแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพื่อทำงานด้วยกันอย่างเต็มที่ในอนาคต เพราะวันนี้ทั้งสองพรรคต่างเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน ทุกพรรคร่วมฝ่ายค้านต่างเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อม ที่เมื่อนำมารวมกันจะเป็น ครม. ที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ๆ ของประเทศไทยได้
แม้พรรคเพื่อไทยอาจจะไม่แลนด์สไลด์ตามที่ข่มขวัญกัน แต่มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่เสียงของพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคในฝั่งเดียวรวมกันจะได้ส.ส.เกิน 250 คน ซึ่งทำให้อำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลตกอยู่ในมือของฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ พรรคเพื่อไทยจะกล้าเอาพรรคก้าวไกลที่มีจุดยืนที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าร่วมในรัฐบาลไหม ในเมื่อเป้าหมายของทักษิณก็คือ การได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังจากยอมกลับมาติดคุกในประเทศไทย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan