หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
หลังความแตกแยกเกือบสองทศวรรษของสังคมไทยมวลชนถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายต่างผ่านการออกมาต่อสู้บนท้องถนนในสงครามสีเสื้อเหลืองแดง ความคิดและทัศนคติทางการเมืองของแต่ละฝ่ายต่างมีจุดยืนและความนิยมต่อพรรคการเมืองของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย และต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปตามความเชื่อของตัวเอง
จากการเริ่มต้นด้วยการต่อต้านระบอบทักษิณ นำมาสู่มวลชนเสื้อเหลืองและแดง กระทั่งพอจะจำแนกได้ว่า มวลชนต่อต้านทักษิณนั้นเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม และมวลชนเสื้อแดงนั้นเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย การต่อสู้กันด้วยระบบเลือกตั้งนั้นมวลชนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะมาตลอด เพราะพรรคการเมืองของทักษิณนั้นได้รับความนิยมในภาคเหนือและภาคอีสานซึ่งมีประชากรมากกว่า รวมถึงมวลชนรากหญ้าที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
พูดกันอย่างยอมรับความจริงต้องบอกว่า ฐานเสียงของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยนั้นมีฐานมวลชนที่มากกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 นั้นพรรคไทยรักไทยเคยได้รับเสียงสนับสนุนมากถึงกว่า 18 ล้านเสียง ในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยก็ได้รับเสียงเลือกตั้งถึง 15.7 ล้านเสียง คะแนนของพรรคเพื่อไทยได้เป็นอันดับ 1 ทุกครั้ง
แม้แต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ภายใต้การเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว แล้วพรรคเพื่อไทยแตกพรรคย่อยเป็นพรรคไทยรักษาชาติแล้วแบ่งพื้นที่กันลงต่อมา พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ทำให้พรรคเพื่อไทยเหลือผู้สมัครส.ส.เพียง 238 เขต จาก 350 เขต ทำให้คะแนนของพรรคเพื่อไทยเหลือเพียง 7.8 ล้านเสียง แน่นอนคะแนนของพรรคเพื่อไทยที่หายไปไปอยู่กับพรรคอนาคตใหม่ที่ได้เสียงมากถึง 6.3 ล้านเสียง การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐมาเป็นอันดับ 1 ได้เสียง 8.4 ล้านเสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นได้ 3.9 ล้านเสียง
แต่ในการเลือกตั้งปี 2562 ถ้าเอาเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่รวมกันก็จะมากกว่าคนที่เลือกพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์
ฐานเสียงของฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้นชัดเจนว่ามากกว่าแน่เพราะฐานมวลชนที่เหนียวแน่นนั้นอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ ส่วนฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นชัดเจนว่ามีฐานมวลชนอยู่ในภาคใต้ แม้ในอดีตกทม.หรือในเขตเมืองของจังหวัดต่างๆ จะเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายอนุรักษนิยม แต่สถานการณ์ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วทั้งในกทม.และเขตเมืองเพราะพื้นที่เหล่านั้นถูกยึดครองด้วยพรรคก้าวไกลไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเมืองที่มีสถานการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยคะแนนของพรรคก้าวไกลจะได้รับความนิยมมาก
เมื่อเร็วๆ นี้เมื่อเปิดเผยตัวเลขผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองผ่านการหักเงินภาษี พรรคก้าวไกลก็มาเป็นอันดับ 1 สะท้อนว่าคนทำงานมนุษย์เงินเดือนนั้นนิยมในพรรคก้าวไกล ในอดีตพรรคที่ได้รับเงินจากการบริจาคผ่านการหักภาษีสูงก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยเป็นขวัญใจของมนุษย์เงินเดือนในอดีต
เนื่องจากความคิดทางการเมืองของประชาชนแบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจน แม้บางคนจะยึดติดกับตัวบุคคลบ้างเช่นเลือกนาย ก. แม้นาย ก.จะย้ายไปอยู่ขั้วอนุรักษนิยมหรือฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็พร้อมจะตามไปเลือก แต่ผมคิดว่าคนที่มีความคิดยึดติดกับตัวบุคคลหรือพวกบ้านใหญ่นั้นเหลือน้อยลงแล้ว ทุกวันนี้การเมืองไทยได้พัฒนามาเป็นการมีขั้วการเมืองของตัวเอง และคนเหล่านี้ก็จะไม่สวิงโหวตข้ามขั้ว
ดังนั้นพรรคไหนขั้วเดียวกันจะแข่งกันเองในฐานมวลชนเดียวกัน แย่งเค้กก้อนเดียวกัน หรือตกปลาในบ่อเดียวกันอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติกับพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกันพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลก็แย่งฐานมวลชนในฝ่ายเดียวกัน ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์หรือไม่แลนด์สไลด์ก็ส่งผลต่อพรรคก้าวไกลด้วย
ตอนนี้บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกลอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล กำลังหวั่นไหวว่า การปลุกกระแสแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยกำลังส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อพรรคก้าวไกล ปิยบุตรกำลังหวั่นเกรงว่า ความต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของมวลชนฝั่งที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้นอาจส่งผลให้มวลชนมีความคิดลงคะแนนในเชิงยุทธศาสตร์คือ ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ เพราะถ้าปล่อยให้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลแข่งกันเองอาจจะแพ้ทั้งคู่เพราะตัดคะแนนกัน หากเป็นเช่นนี้จะทำให้พรรคก้าวไกลได้รับการเลือกตั้งน้อยมาก
อธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง ผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรคก้าวไกลก็บอกว่า ก้าวไกลตกอยู่ในวงล้อมของกระแสแลนด์สไลด์ไม่สามารถชูจุดเด่นของตัวเอง ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็อธิบายยาก คือในภาพกว้างต้องลุ้นเพื่อไทยชนะเป็นรัฐบาลแต่ก้าวไกลต้องได้ ส.ส.กทม. ปริมณฑล เขตเมือง และปาร์ตี้ลิสต์ให้มากที่สุด เพื่อสะท้อนพลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลง พลังคนชั้นกลางใหม่ คนรุ่นใหม่ “ทะลุเพดาน”
พูดง่ายๆ คือ อธึกกิตหวังว่า ในบัตรเลือกส.ส.เขตมวลชนฝั่งเขาจะลงให้พรรคเพื่อไทยและปาร์ตี้ลิสต์จะลงให้พรรคก้าวไกล
อย่าลืมว่าสถานการณ์ในครั้งนี้ของพรรคก้าวไกลไม่เหมือนเดิม ครั้งที่แล้วที่ลงในนามพรรคอนาคตใหม่นั้นโชคดีเพราะพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบทำให้คะแนนเทมาที่พรรคอนาคตใหม่เพราะพื้นที่เหล่านั้นพรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งลงแข่ง และครั้งที่แล้วหัวหน้าพรรคคือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจนั้นมีคะแนนสูงกว่าพิธา ลิ้มเจริญรัตน์มาก
นี่เป็นการพิสูจน์ชัดว่าคู่แข่งขันที่แท้จริงคือพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล
แต่ถ้าถามว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ไหม แม้เราดูว่าฐานมวลชนของฝั่งที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจะมีมากกว่าฝ่ายอนุรักษนิยม แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างมีนัยสำคัญนั่นหมายความว่า ไม่มากพอที่จะทำให้ประชาชนออกมาเลือกพรรคเพื่อไทยอย่างถล่มทลายจนเกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ได้แน่ ยกเว้นว่ามวลชนฝั่งนี้จะทิ้งพรรคก้าวไกลไปเลยซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่ เพราะด้านหนึ่งมวลชนฮาร์ดคอร์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือต่างเชื่อมั่นในพรรคก้าวไกลมากกว่าพรรคของทักษิณที่พวกเขามองว่าเพียงแต่ต่อสู้เพื่อให้ได้กลับมาเมืองไทยเท่านั้น
สมมติว่าเกิดแลนด์สไลด์คือ เลือกพรรคเพื่อไทยเกิน 250 เสียง หากเป็นเช่นนั้นพรรคก้าวไกลจะได้น้อยมาก แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะได้เสียงประมาณ 200 บวกลบ และพรรคก้าวไกลน่าจะได้ 50 บวกลบ และสองพรรคนี้รวมกันน่าจะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนคือเกิน 250 คน ทำให้สถานการณ์ฟอร์มรัฐบาลอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยที่มีทักษิณอยู่เบื้องหลัง และทำให้พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐไหลมารวมกับฝั่งนี้ รวมไปถึงพรรคเล็กพรรคน้อยอย่างชาติไทยพัฒนาและประชาชาติ และอาศัยมือของส.ว.ในฝั่งของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณจำนวนหนึ่งรวมกับส.ว.ที่ประกาศว่า หากฝั่งไหนรวบรวมส.ส.ได้เกิน 250 คนจะยกมือให้ฝั่งนั้นซึ่งมีอยู่ไม่น้อย
พูดแบบนี้ดูเหมือนว่าชะตากรรมของฝ่ายอนุรักษนิยมจะต้องเผชิญกับรัฐบาลที่ไม่ปรารถนา แต่ก็คงต้องทำใจยอมรับเหมือนกับที่เคยยอมให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปกครองประเทศหลังชนะการเลือกตั้งในปี 2554 จนต่อมาเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลประชาชนจึงออกมาขับไล่ จนเกิดการรัฐประหารและทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน
หากจะว่าไปแล้วสถานการณ์ของฝ่ายอนุรักษนิยมเหมือนอยู่ท่ามกลางเขาควาย ด้วยสถานการณ์การเมืองที่บ่งชี้แล้วว่า โอกาสชัยชนะเลือกตั้งน่าจะตกเป็นของฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่า จากโพลทุกโพลที่บอกว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำ และอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร กำลังได้รับความนิยมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่มวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมหวาดกลัวก็คือ การใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล การทุจริตคอร์รัปชั่น และการแสวงหาประโยชน์จะกลับมาซ้ำรอยอีก
แต่ขณะเดียวกันหากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งต่ำกว่าเป้า พรรคที่จะได้คะแนนสูงก็เป็นพรรคก้าวไกลที่มีความคิดทางการเมืองท้าทายต่อระบอบของรัฐ พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือ สนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 และสนับสนุนการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และแสดงตัวชัดเจนออกมาปกป้องคนที่ถูกดำเนินคดีจากการกล่าวหาใหร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จนถูกดำเนินคดี
ต้องถามว่าหากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งมากแล้วทักษิณจะกลับมากับพรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งมากที่สะท้อนเสียงต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน ทั้งสองแนวทางล้วนแล้วแต่เป็นความสุ่มเสี่ยงที่ฝ่ายอนุรักษนิยมอาจจะต้องเผชิญ
แต่ถ้าถามว่าสถานการณ์จะพลิกผันกลับมาเป็นชัยชนะของขั้วอำนาจเดิมไหม ก็ต้องตอบว่ายากมาก เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมต่างแข่งขันและช่วงชิงกันเองจนหาจุดร่วมไม่ได้เลย และการครองอำนาจมาอย่างยาวนานของพล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นปัจจัยลบที่สำคัญ
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan