“ดูก่อนกิมพิละ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในพระธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพในการพระศาสดา ไม่เคารพในพระธรรม ไม่เคารพในพระสงฆ์ ไม่เคารพในการศึกษา ไม่เคารพยำเกรงในกันและกัน นี้แลกิมพิละ เป็นเหตุ เป็นปัจจัยทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน หลังจากตถาคตปรินิพพานแล้ว” นี่คือ พุทธพจน์ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระกิมพิละ ผู้ที่ได้ทูลถามพระองค์เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม หลังจากที่พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว
โดยนัยแห่งพุทธพจน์ข้างต้น พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ชัดเจนถึงเหตุที่ทำให้คำสอนพระองค์เสื่อม และถ้าย้อนไปดูความเป็นมาของศาสนาพุทธตั้งแต่ปรินิพพานสมัยเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันก็จะพบว่า ได้เกิดเหตุปัจจัยที่ทำให้พระธรรมวินัยเสื่อมถึงขั้นต้องทำสังคายนาเพื่อชำระพระวินัยมาแล้วถึง 9 ครั้ง และแต่ละครั้งล้วนแล้วแต่เกิดจากการที่พระภิกษุจาบจ้วงล่วงเกินพระธรรมวินัยทั้งสิ้น
ในปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้าไปสู่หลายประเทศทั่วโลก และแต่ละประเทศที่พุทธศาสนาเข้าไปก็มีสภาพสังคม และการปกครองแตกต่างกันออกไป
ดังนั้น พระภิกษุซึ่งเป็นนักบวชจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และสามารถรักษาคำสอนของพุทธให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และนี่เองที่ทำให้แนวทางการปฏิบัติของพระภิกษุในแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พุทธศาสนาในประเทศไทยนับได้ว่าสามารถรักษาคำสอนของพุทธองค์ไว้ได้สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของพระวินัย ซึ่งเป็นข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระป่าหรือพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี และที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นพุทธมามกะสืบทอดกันมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน
2. ศาสนาพุทธในประเทศไทยได้รับการปกป้องคุ้มครองจากฝ่ายอาณาจักร จึงทำให้มีความมั่นคงยืนยาวจนถึงทุกวันนี้ แต่ถึงกระนั้นวันนี้และเวลานี้ศาสนาพุทธในประเทศไทย มีแนวโน้มเสื่อมถอยลงเมื่อเทียบกับอดีต จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ดังต่อไปนี้
1. พระภิกษุสามเณรได้ประพฤติย่อหย่อน มีการล่วงละเมิดพระวินัยอย่างโจ่งแจ้งชนิดไม่กลัวบาปกรรม หรือแม้กระทั่งข้อห้ามของเถรสมาคมก็ถูกละเมิดให้เห็นตำตา แต่หาคนดำเนินการทางกฎหมายไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีสำนักพุทธศาสนารับผิดชอบในส่วนนี้
2. ในส่วนของสำนักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่และความรับผิดชอบในการปกป้องและคุ้มครองพุทธศาสนาโดยตรง แต่เท่าที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยให้พวกอลัชชีกระทำย่ำยีพระพุทธศาสนาอย่างดาษดื่นเหมือนกับไม่มีองค์กรนี้อยู่ในประเทศไทย
3. ถึงแม้ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่คนไทยส่วนหนึ่งอาจเป็นใหญ่ด้วย มิได้สนใจศึกษาค้นคว้า และทำความเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และนำไปเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ทั้งนี้อนุมานได้จากปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นเช่น การค้ายาเสพติด และการทุจริต คอร์รัปชัน เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ผิดต่อหลักคำสอนของศาสนาพุทธทั้งสิ้น
จริงอยู่คนไทยส่วนใหญ่เข้าวัดทำบุญโดยการบริจาคทาน โดยเฉพาะในเทศกาลสำคัญเช่น ปีใหม่ และสงกรานต์ เป็นต้น แต่เพียงแค่นี้ไม่พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นพุทธ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าเป็นพุทธ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วจะต้องลงมือทำตามคำสอน ทั้งในส่วนของศีลและธรรม
อีกประการหนึ่ง นอกจากไม่นำคำสอนมาปฏิบัติแล้ว คนไทยส่วนหนึ่งยังเลื่อมใสศรัทธาในเดรัจฉานวิชาเช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ เป็นต้น จึงเปิดช่องให้นักบวกอลัชชีตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์มีอาชีพขายศรัทธาด้วยการนำวัตถุมงคลออกขาย ซึ่งเท่ากับทำลายพุทธศาสนาทางอ้อม
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น พุทธศาสนาในประเทศไทยในขณะนี้ เสื่อมลงเมื่อเทียบกับอดีต
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนจะต้องช่วยกันจรรโลงพุทธศาสนา โดยการศึกษาคำสอนและนำมาปฏิบัติพร้อมกับการขจัดพวกศรัทธาแอบแฝงให้หมดไปจากพระพุทธศาสนา ก็จะได้ชื่อว่าท่านเป็นพุทธที่แท้จริง