เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปดู “แนวรบยุโรปตะวันออก” อีกสักเที่ยวนั่นแหละทั่น เพราะช่วงระหว่างนี้ต้องถือเป็นช่วง “หัวเลี้ยว-หัวต่อ” ที่น่าสนใจเอามากๆ!!! คือเป็นช่วงจังหวะที่อะไรต่อมิอะไรมันกำลังทำท่า “พลิกไป-พลิกมา” ชนิดน่าจับตาอย่างเป็นพิเศษ เรียกว่า...มีทั้งความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการลุกลาม “ขยายวง” ของสงคราม ระดับเตลิดเปิดเปิงไปถึงขั้น “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็ไม่แน่!!! แต่ก็มีทั้งความเป็นไปได้ที่อาจพอได้เริ่มเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” แบบแวบๆ แวมๆ อยู่บ้างเหมือนกัน...
เพราะอย่างที่พอได้รับรู้ รับทราบ โดยคร่าวๆ ไปแล้วนั่นแหละว่า...บรรดาพลพรรคหมีขาวรัสเซียช่วงนี้ เขาได้เริ่มรุกคืบเข้าไปยังเมืองต่างๆ ของยูเครน ที่ฝ่ายยูเครนเขาถึงกับใช้คำเรียกขานว่า “การโจมตีครั้งใหม่” หรือเลขาธิการนาโต “พลเอกJens Stoltenberg” ท่านเรียกว่า “การโจมตีในฤดูใบไม้ผลิ” (Spring offensive) อะไรทำนองนั้น และด้วยการป่าวประกาศแบบคำใหญ่ คำโต เอาไว้ก่อนล่วงหน้าของนายทหารรายนี้ ประมาณว่า “ถ้าปูตินชนะ....ไม่ได้หมายถึงแค่ยูเครนแพ้ แต่หมายถึงบรรดาชาวยุโรปทั้งหลายต้องแพ้ไปด้วย” ความพยายาม “อัดฉีด” อาวุธประหัตประหาร ไม่ว่าจรวด รถถัง หรืออาจไปไกลถึงเครื่องบินรบ ฯลฯ ของบรรดาประเทศตะวันตกและคุณพ่ออเมริกาให้กับกองทัพยูเครน เพื่อเอาไว้ตอบโต้การรุกคืบของกองทัพรัสเซีย (counter attack) แบบถึงไหน-ก็ถึงกัน ย่อมก่อให้เกิด “การยกระดับของการเผชิญหน้า” หรือ “การขยายวงของสงคราม” จนอาจนำไปสู่การ “ลั่นไก” อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะถ้าฟังจากรายงานของสำนักข่าว “Politico” ที่อ้าง “ข่าวล่า-มาเรือ” จากหน่วยข่าวกรองนอร์เวย์ หรือ “Norwegian Intelligence Service” ที่ระบุว่าถือเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่กองทัพรัสเซียได้ลำเลียงอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์เข้าสู่ทะเลบอลติกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!
ดังนั้น...มันจะถึงขั้น “ฉิบหาย...กันไปข้าง” หรือจะหันมาประนีประนอมยอมความ หันมาหา “จุดลงตัว” ระหว่างกันและกัน ก่อนโลกทั้งโลกจะพลอย “ซวยไปด้วย” อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจอย่างเป็นพิเศษ โดยถ้าฟังจากระดับ “ประธานเสนาธิการทหาร” อเมริกา “พลเอกMark Milley” ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “The Financial Times” เมื่อช่วงวันพุธ (15 ก.พ.) ที่ผ่านมา หลังการเดินทางไปเยือนนาโตเพื่อเตรียมรับมือการบุกครั้งใหม่ของรัสเซีย โดยน้ำเสียง หางเสียงของ “ทหารอาชีพ”รายนี้ ดูๆ จะไม่ดุเดือดเลือดพล่าน ไม่ถึงกับจะคิดคุยโม้ คุยโต เหมือนอย่าง “ทหารการเมือง” หรืออย่างเลขาธิการนาโตมากมายสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะที่ระบุเอาไว้ว่า...ความขัดแย้งยูเครนมีแต่จะต้องจบลงใน “โต๊ะเจรจา” ลูกเดียวเท่านั้น เพราะต่างฝ่ายต่างไม่น่าจะมีใครบรรลุเป้าหมายในสนามรบไปด้วยกันทั้งคู่ หรือ “ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ฝ่ายรัสเซียจะสามารถบรรลุเป้าหมายด้วยกรรมวิธีทางทหาร แต่ก็เป็นเรื่องยากสุดๆสำหรับฝ่ายยูเครนที่จะเตะรัสเซียออกจากดินแดนของตัวเองในทุกตารางนิ้วภายในปีนี้...”
หรือว่าไปแล้ว...โดยน้ำเสียง หางเสียง ของประธานเสนาธิการทหารสหรัฐฯ รายนี้ น่าจะไม่ต่างอะไรไปจากเสียงจิ้งจก ตุ๊กแกรายต่างๆ ที่พยายามทัก พยายามเสนอแนะต่อรัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” อย่างเป็นงานเป็นการ หรืออย่างที่ปรากฏเป็นข่าวคราวไปแล้วนั่นเอง ไม่ว่าบริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคง อย่าง “Rand Corporation” ที่สรุปไว้ชัดเจนว่าต้องหาทาง “หลีกเลี่ยงสงครามระยะยาว” โดยเด็ดขาด ไปจนนักคิด นักวิชาการ แห่งศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies-CSIS) นักคิด นักวิชาการ แห่งสถาบัน “American Enterprises” ที่ล้วนเห็นไปในแนวเดียวกันซะเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น...ถ้ารวมถึง “ผลโพล” ล่าสุดของ “The Associated Press-NORC” ที่ได้ไปสอบถามความคิด ความเห็น ของบรรดาอเมริกันชน และนำมาเปิดเผยเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมานี่เอง (15 ก.พ.) ปรากฏว่าชาวอเมริกันกว่าครึ่ง ชักเริ่ม “ไม่เห็นควรด้วย” กับการสนับสนุนอาวุธให้รัฐบาลยูเครนขึ้นมามั่งแล้ว นั่นยังไม่รวมไปถึงบรรดาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันแห่งพรรครีพับลิกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณเธอ “MTG” หรือ “Marjorie Tylor Green” ผู้ส่งเสียงโห่ เสียงตะโกน หาว่าคุณปู่ “โจ” โกหก ระหว่างแถลงนโยบาย “State of the Union” เมื่อวัน-สองวันที่แล้ว ไปจนถึง “นายMatt Gaetz” “นายThomas Massie” หรือ “นายMatt Rosendale” ฯลฯ เป็นต้น...
อีกทั้งโดยสถานะของ “พรมเช็ดเท้าอเมริกา” หรือบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย...ช่วงระหว่างนี้ก็ต่าง “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” ไปเป็นรายๆ อันเนื่องมาจากความพยายามอัดฉีดทุกสิ่งทุกอย่างให้กับกองทัพและรัฐบาลยูเครนนั่นเอง ดังตัวเลขที่สถาบัน “The Kiel Institute of World Economy” เขานำมาเปิดเผยไปเมื่อเร็วๆ นี้ ว่านับจากกองทัพรัสเซียบุกยูเครนเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว จนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2022 บรรดาชาติตะวันตกต่างต้องควักเงินช่วยเหลือยูเครนไม่น้อยไปกว่า 126,000 ล้านดอลลาร์ อเมริกามากสุด หรือ 45 เปอร์เซ็นต์ของความช่วยเหลือทั้งหมด ตกราวๆ 55,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนอียูทั้งอียูตกราวๆ 48,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ตัวเลข “จีดีพี” โดยรวมมีอยู่แค่ 130,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง ชนิดที่ทหารการเมืองอย่างเลขาฯ นาโต จำต้องออกมายอมรับว่าบรรดาอาวุธที่ประเทศยุโรปส่งไปช่วยยูเครน ชักเริ่มร่อยหรอแทบไม่เหลือพอให้ทหารยูเครนยิงทิ้ง ยิงขว้าง อีกต่อไปแล้ว...
หรือถึงแม้จะเหลือจรวด รถถัง ปืนใหญ่ ฯลฯ เหลืออาวุธอีกสักกี่ล็อตต่อกี่ล็อตก็เถอะ!!! แต่โดยจำนวนตัวเลข “ผู้สูญเสีย” ที่ประธานบริหารอียู “นางUrsula von der Leyen” ดัน “หลุดปาก” เมื่อไม่นานมานี้ ว่าทหารยูเครนน่าจะเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 100,000 ราย นั่นยังไม่รวมไปถึงตัวเลข “พลเรือน” ไม่ว่าที่ตัวแทนสหประชาชาติ “นายIzumi Nakamitsu” ประเมินไว้ว่าไม่น้อยกว่า 7,100 คน หรือที่รัฐมนตรีกลาโหมนอร์เวย์ “นายEirik Kristoffersen” ระบุว่าไม่น้อยกว่า 30,000 คน โดยเฉพาะช่วงที่กองทัพยูเครนถล่มปืนใหญ่และยิงจรวดใส่พื้นที่ Donbass และ Zaporozhye ส่งผลให้พลเรือนชาวยูเครนเชื้อสายรัสเซียล้มตายกันไปเป็นแถบๆ อันเป็นอะไรที่น่าเศร้า น่าสลดใจ เป็นอย่างยิ่ง...
ด้วยสภาพเช่นนี้...ก็เลยต้องขึ้นอยู่กับแต่ละฝ่ายนั่นแหละ ว่าจะเลือกที่จะ “ฉิบหาย...กันไปข้าง” หรือจะหันไปหา “จุดลงตัว” ภายใน “โต๊ะเจรจา” ระหว่างกันและกันให้จงได้ และอาจด้วยจุดนี้นี่เองเลยทำให้โปลิตบูโรแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้ดูแลกิจการต่างประเทศ อย่าง “นายWang Yi” ท่านเลยตัดสินใจเดินทางไปเยือนประเทศยุโรป ไล่มาตั้งแต่ฝรั่งเศส อิตาลี ฮังการี และรัสเซีย ช่วงระหว่างวันที่ 14-22 ก.พ.นี้ อีกทั้งยังพร้อมเข้าร่วมเวทีประชุม “MSC” (The Munich Security Conference) ครั้งที่ 59 กับบรรดาตัวแทนอีก 40 ประเทศ เพื่อนำเสนอทางออก ทางไป ที่เหมาะที่ควร หรือที่อาจนำไปสู่ “สันติภาพ” แทนที่จะหันไปเติมเชื้อ เติมไฟ แบบที่คุณพ่ออเมริกามุ่งมั่นกระทำการอยู่ในทุกวันนี้...
ความยืดเยื้อคาราคาซังของ “สงครามยูเครน” นับจากนี้ มันเลยอาจเป็นไปในแบบ “โลกสวย” หรือ “โลกซวย” ได้ด้วยกันทั้งสิ้น คืออาจเป็นไปในแบบฉากสถานการณ์ครั้งสงครามเกาหลีช่วงปี ค.ศ. 1950 หลังจากกองทัพอเมริกันผู้สนับสนุนเกาหลีใต้ไม่อาจเอาชนะเกาหลีเหนือที่มีกองทัพจีนและโซเวียตหนุนหลังได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลังจากยันกันไป-ยันกันมาจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไปด้วยกันทุกฝ่าย สุดท้าย...เลยหนีไม่พ้นต้องหันมาหา “จุดลงตัว” ด้วยการตัดแบ่งเกาหลีเป็น 2 เขต 2 ประเทศ ณ เส้นขนานที่ 38 หรือฉากสถานการณ์ที่อดีตผู้นำรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ท่านพยายามนำเสนอในนาม “Korean Scenario” เมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ถ้ายังไม่คิดจะบันยะบันยัง หรือไปไกลถึงขั้นคิดจะ “ยึดแหลมไครเมีย” กลับคืนมาจากรัสเซียให้จงได้ ตามคำคุยโม้ คุยโต ของตัวตลกและตัวแทน อย่างผู้นำยูเครน “นายVolodymyr Zelensky” เท่าที่ฟังจากรายงานข่าวของสำนักข่าว “Politico” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (16 ก.พ.) แม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายAntony Blinken” ยังหนีไม่พ้นต้องยอมรับว่า ย่อมหมายถึงการ “ละเมิดเส้นแดง” ที่คงต้องเจอการตอบโต้จากรัสเซียอย่างชนิดหนักหน่วงและรุนแรง จนอาจนำไปสู่การ “ลั่นไก” สงครามนิวเคลียร์ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!