หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่น้องสองป.ที่เคยบอกว่าไม่มีวันแยกจากกัน เพราะความสัมพันธ์ที่ยาวนานมาตั้งแต่เป็นนายร้อยจนต่างก็ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประวิตรนั้นเป็นนายของพล.อ.ประยุทธ์มาตลอดชีวิตรับราชการ แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์เสี่ยงภัยทำรัฐประหารมาด้วยตัวเอง พล.อ.ประวิตรจึงยอมมารับบทท่านรอง
พล.อ.ประวิตรนั้นเข้าสู่วงการการเมืองมาก่อน เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เขาจึงเหมือนกับเป็นคนคอยจัดการปัญหาการเมืองให้กับพล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ค่อยลงมาสุงสิงกับนักการเมือง ทำให้นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐไม่พอใจ จนร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการของพรรค เคยจะนำส.ส.ของพรรคคว่ำในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว แต่สุดท้ายปัญหาก็คลี่คลายด้วยบารมีของพล.อ.ประวิตร
แม้เหลือเวลาที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีก 2 ปี แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังอยากจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วกว่า 8 ปี ไม่รู้ว่าเหตุผลที่พล.อ.ประยุทธ์ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะไม่พอใจที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อพล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ ถ้าเพราะเหตุนี้ก็ต้องถือว่าพล.อ.ประยุทธ์ยึดมั่นในความเป็นตัวตนมากเพราะไม่ต้องการให้ใครขึ้นมาเสมอกับตน เหมือนที่ในการเสนอชื่อรอบแรกไม่ยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตมะ สวนายน ร่วมด้วย ทั้งๆ ที่การเสนอ 3 ชื่อก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อพรรคเลย
ก็ต้องรอดูว่าพล.อ.ประยุทธ์ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติจะยอมให้พรรคเสนอชื่อคนอื่นนอกเหนือจากตัวเองหรือไม่ เพราะโดยหลักการแล้วเมื่อตัวเองเหลือเวลาอีก 2 ปี ก็ต้องยอมให้พรรคเสนอชื่อคนอื่นด้วย เพราะรัฐบาลมีวาระ 4 ปี แต่ถ้ายังไม่ยอมให้พรรคเสนอชื่อคนอื่นด้วยนั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของพล.อ.ประยุทธ์
แต่ปัญหาสำคัญที่สุดของพล.อ.ประยุทธ์ในการจะกลับมาเป็นนายรัฐมนตรีนั้นมีหลายด่านที่จะต้องผ่านให้ได้นั่นคือ เบื้องแรกพรรครวมไทยสร้างชาติจะต้องได้ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน ต่อมาพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันจะต้องได้ส.ส.รวมกันเกิน 250 คน ซึ่งตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
หากฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถรวบรวมส.ส.ได้เกิน 250 คน แม้จะมีเสียงของส.ว.อีก 250 คนอยู่ในมือก็ไม่มีความหมาย เพราะถึงจะสามารถตั้งรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากของสองสภาคือเกิน 376 คนจาก 750 คนได้ ก็เป็นรัฐบาลไม่ได้นานเพราะมีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร
ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วแม้ว่าพรรคพลังประชารัฐที่เสนอพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีจะได้รับการเลือกตั้งมาถึง 116 คน และสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ แต่ก็มีโครงสร้างและสถานการณ์ต่างกับการเลือกตั้งครั้งนี้ของพล.อ.ประยุทธ์ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติมาก ครั้งที่แล้วนั้นพรรคพลังประชารัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกวาดต้อนรวบรวมส.ส.บ้านใหญ่เขามาสังกัดในพรรคได้มาก และกระแสของพล.อ.ประยุทธ์ยังมีสูง แต่ครั้งนี้ส.ส.ที่หลั่งไหลเข้าไปพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นยังมองไม่เห็นตัวส.ส.ระดับที่มีแสงในตัวเองเลย และต่างต้องอาศัยกระแสของพล.อ.ประยุทธ์เข้าสภาเกือบทั้งสิ้น แล้วลองคิดว่าวันนี้กระแสของพล.อ.ประยุทธ์ยังจะมีเหมือนเดิมไหม
ถึงตอนนี้ยังมองไม่ออกเลยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ส.ส.ถึง 25 คนไหมเมื่อเช็กรายชื่อของอดีตส.ส.ที่เข้าไปร่วมกับพรรค ไม่ต้องพูดว่าจะสามารถได้เสียงข้างมากในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันโดยเฉพาะเทียบกับกระแสของพรรคภูมิใจไทย ก็เชื่อว่าไม่มีใครคิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ส.ส.มากกว่าพรรคภูมิใจไทย แล้วสมมตินะครับว่า พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันสามารถรวบรวมส.ส.ได้เกิน 250 คน แต่พรรคภูมิใจไทยได้ส.ส.มากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ อนุทิน ชาญวีรกุลที่พรรคภูมิใจไทยเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจะยอมเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีก่อน 2 ปีไหม
การแตกพรรคของพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติยังถูกมองว่าทำให้เสียงแตกเพราะต้องแย่งคะแนนจากเค้กก้อนเดียวกันกับทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลงประชารัฐโดยเฉพาะในภาคใต้และกทม. ดีไม่ดีถ้าฐานเสียงของพรรคซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมไม่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ในการลงคะแนนให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ เสียงก็จะแตกจนพ่ายแพ้ฝั่งตรงขามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกทม.ที่คาดว่าครั้งนี้ที่นั่งส่วนใหญ่จะตกเป็นของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล
เราไม่รู้หรอกว่า “แรงบันดาลใจ” ของพล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 2 ปีคืออะไร หลังจากเคยบอกว่าขอเวลาไม่นานแต่เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วกว่า 8 ปี ใครต่อใครบอกว่า เขาน่าจะวางมือแล้วก้าวไปสู่ตำแหน่งที่มีเกียรติยศกว่า เพราะ 8 ปีกว่าในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นมองเห็นถึงศักยภาพของเขาแล้วว่าควรจะไปต่อหรือไม่ หลังจากบริหารประเทศโดยไม่มีฝ่ายค้านและมีอำนาจเต็มที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ถึง 5 ปี ก่อนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งด้วยกลไกที่ใช้มือของ 250ส.ว.ที่ตัวเองเป็นผู้ตั้งยกมือให้ และจากฤทธิ์ของส.ส.ปัดเศษที่พิสดารอีกจำนวนหนึ่ง
อาจจะเป็นไปได้ว่าแรงบันดาลใจของพล.อ.ประยุทธ์ที่จะไปต่อนั้นมาจากเสียงห้อมล้อมของคนรอบข้างที่ยังเชื่อมั่นว่าพล.อ.ประยุทธ์ยังคงมีกระแสและแรงหนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อผลเลือกตั้งออกมาก็จะเป็นคำตอบว่าความเชื่อนั้นเป็นจริงไหม
ส่วนพล.อ.ประวิตรนั้น ผมคิดว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่า ความคิดที่ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นลูกน้องมาตลอดเป็นนายกรัฐมนตรีได้ตัวเองก็สามารถเป็นได้ ประโยค “ใจบันดาลแรง” นั้น ไม่รู้หรอกว่าเกิดจากความคิดของทีมงานหรือเกิดจากจิตใต้สำนึกของพล.อ.ประวิตร แต่ก็เกิดขึ้นในช่วงที่พล.อ.ประวิตรรักษาการนายกรัฐมนตรีอยู่เกือบ 1 เดือน ซึ่งเราได้เห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงจากพล.อ.ประวิตรคนเดิมไปเป็นพล.อ.ประวิตรคนใหม่ที่กระฉับกระเฉง และแสดงบทบาทนายกรัฐมนตรีรักษาการได้เป็นอย่างดี
ในช่วงของการลงพื้นที่หาเสียงที่ผ่านมาเราเห็นถึงใจบันดาลแรงของพล.อ.ประวิตรชัดเจนขึ้นในการพบปะกับประชาชนที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรมากกว่าและเข้าถึงง่ายกว่าพล.อ.ประยุทธ์
ถามว่าพรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตรจะได้ส.ส.เท่าไหร่ จนถึงตอนนี้เรายังเห็นบ้านใหญ่หลายจังหวัดยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ หลังจากเลยเขตห้ามย้ายพรรค 90 วัน ในวันที่ 7กุมภาพันธ์หากรัฐบาลอยู่ครบเทอมมาแล้ว ก็ลองดูว่าจะยุบสภาหรือไม่ เพราะถ้ายุบสภากฎการเข้าพรรคก็ลดลงเหลือ 30 วันก็ยังคงย้ายพรรคกันทันก่อนถึงวันเลือกตั้ง แต่หากดู ณ เวลานี้ก็ต้องบอกว่า พรรคพลังประชารัฐน่าจะผ่านด่าน 25 เสียงไปได้ไม่ยาก เพราะบ้านใหญ่หลายจังหวัดยังคงอยู่กับพรรค
ถึงตอนนี้ต้องบอกเลยว่า โอกาสของพล.อ.ประวิตรนั้นมีมากกว่าพล.อ.ประยุทธ์ เพราะไม่ว่าฝั่งไหนรวบรวมเสียงส.ส.ได้เกิน 250 คน พล.อ.ประวิตรสามารถไปได้ทั้งสองฝั่งในขณะที่ข้อจำกัดของพล.อ.ประยุทธ์คือ ไม่สามารถร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้ แต่พล.อ.ประวิตรไม่มีเงื่อนไขนั้น
ถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรยืนกันอยู่คนละฝั่ง ส.ว. 250 คนก็จะต้องแตกกันด้วย แม้เช็กแล้วตอนนี้ส.ว.ของพล.อ.ประยุทธ์น่าจะมีมากกว่า มีการคาดการณ์กันว่าส.ว.ของพล.อ.ประวิตรน่าจะมีราว 80 คน แต่ปัจจัยสำคัญแรกเลยก็คือว่า ฝั่งไหนได้เสียงส.ส.เกินครึ่งฝ่ายนั้นก็จะมีแต้มต่อทันที แล้วสเตปต่อมาคือรวบรวมเสียงของสองสภาให้ได้เกิน 376 คน ฝ่ายนั้นก็จะได้เป็นรัฐบาล
หากจะให้ฟันธง ณ เวลานี้ผมยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่แลนด์สไลด์คือไม่ได้เสียงพรรคเดียวเกิน 250 คน แต่น่าจะได้ส.ส.ราว 200 คนบวกลบ และพรรคก้าวไกลก็น่าจะมีส.ส.ถึง 50 คนบวกลบ สองพรรคนี้รวมกันมีโอกาสมากที่จะมีส.ส.รวมกันเกิน 250 คน แม้ทักษิณก็ไม่เอาพรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาล แต่อำนาจต่อรองก็อยู่กับฝั่งเพื่อไทยทันที แล้วพรรคอื่นก็จะไหลมาไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคชาติไทยพัฒนารวมถึงพรรคประชาชาติที่เป็นสาขาของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังได้ไม่ถึง 376 เสียงต้องพึ่งส.ว.ในมือของพล.อ.ประวิตร แน่นอนว่าจะทำให้พล.อ.ประวิตรมีอำนาจต่อรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที
ถึงตรงนี้คงเป็นคำตอบแล้วว่าระหว่าง “แรงบันดาลใจ” ของพล.อ.ประยุทธ์กับ “ใจบันดาลแรง” ของพล.อ.ประวิตรอันไหนที่น่าจะมีพลานุภาพมากกว่ากัน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan