xs
xsm
sm
md
lg

คนรุ่นใหม่กับพรรคก้าวไกล อนาคตที่สังคมไทยต้องเผชิญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

บางคนบอกว่าเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลจะไม่แรงเหมือนกับพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เหตุผลเพราะพรรคก้าวไกลนำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่ได้ประโยชน์จากที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ

แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะยังคงแรงเหมือนเดิม เพราะคนรุ่นใหม่เกือบทั้งเจนเนเรชั่นยังคงสนับสนุนพรรคนี้ และพรรคนี้น่าจะได้เสียงจากคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่าพรรคก้าวไกลกล้าที่จะท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในการสนับสนุนความคิดของคนที่ออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ กล้าออกไปประกันตัวคนที่ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 และกล้าตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักส่วนพระมหากษัตริย์ ดังนั้นยิ่งพรรคก้าวไกลได้คะแนนมากขึ้นท่าไหร่ก็จะยิ่งกระทบต่อคะแนนของพรรคเพื่อไทย

คะแนนของพรรคก้าวไกลนั้นไม่กระทบต่อคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะมีฐานเสียงที่ไม่ทับซ้อนกัน แต่จะกระทบพรรคเพื่อไทยที่มีฐานเสียงจากคนเสื้อแดงที่ทับซ้อนกันโดยเฉพาะเสื้อแดงที่มีการศึกษา เป็นปัญญาชน รวมถึงพวกที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยเองก็รู้ว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้รับเลือกตั้งมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกลส่วนหนึ่งด้วย

น่าสนใจว่าคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่รักพี่เสียน้องระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจะตัดสินเสียงของตัวเองในคูหาอย่างไร แต่ก็มีการมองว่า เป็นไปได้ว่าเขตที่ชอบผู้ลงสมัครคนไหนของสองพรรคนี้อาจจะลงให้คนนั้น แต่จะเลือกส.ส.บัญชีรายชื่อของอีกพรรค

แน่นอนว่ามีคนรุ่นเก่าจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่หันมาสนับสนุนพรรคก้าวไกล หลายคนมาจากความคิดความฝังใจในอดีตที่ตัวเองเคยต่อสู้เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้วพ่ายแพ้มาในอดีต โดยเฉพาะคนที่เคยเจ็บปวดและมีบาดแผลทางใจมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หลายคนสนับสนุนพรรคนี้ เพราะเปลี่ยนใจไปตามความคิดของลูกหลานตัวเอง ผมเห็นคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณบางคนเปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลเพราะเหตุนี้

พรรคก้าวไกลวันนี้เหมือนตัวแทนของคนรุ่นใหม่ พรรคอาจจะไม่ประสบความสำเร็จวันนี้ในวันที่สังคมไทยยังเป็นสังคมสูงวัยที่คนส่วนใหญ่ยังเป็นคนเจนเนเรชั่นเอ็กซ์ไปจนถึงเบบี้บูม แต่ถ้าคนสองเจนนี้ล้มหายตายจากไปมากเท่าไหร่ สังคมไทยอาจจะถูกท้าทายด้วยพรรคก้าวไกล ถ้าหากว่าพรรคการเมืองพรรคนี้สามารถหยั่งรากลึกและสามารถส่งต่ออุดมการณ์กันได้ต่อไปในอนาคต

แต่ผมก็ยอมรับนะครับว่า ได้ยินคนรุ่นราวคราวเดียวกัน คนรุ่นเบบี้บูม คนรุ่นเจนเอ็กซ์ จำนวนไม่น้อยที่เริ่มพูดถึงพรรคก้าวไกลเพราะเห็นศักยภาพของพรรคนี้ในการทำงานในสภา ในการอภิปรายอย่างมีเหตุผล การศึกษาและทำการบ้านในประเด็นที่นำมาอภิปราย และกล้าแตะต้องทุกปัญหาของสังคมไทย การอภิปรายในสภาแตกต่างจากนักการเมืองรุ่นเก่าที่มีแต่สำนวนโวหาร จึงมีคนรุ่นเก่าไม่น้อยที่พร้อมจะหันไปลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล

และมีบางคนที่บ่นว่าน่าเสียดายที่พรรคการเมืองพรรคนี้ถูกครอบงำด้วยความคิดของคนที่ต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เช่นนั้นพรรคการเมืองพรรคนี้จะเป็นความหวังของสังคมไทยได้ทีเดียว นั่นแสดงว่าคนที่มีความคิดนี้ยังคงเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ว่ายังคงมีความจำเป็นสำหรับสังคมไทย แน่นอนคือคนที่เคยมีพื้นฐานเป็นอนุรักษนิยมซึ่งความคิดแบบนี้น่าจะมาจากเหตุผลที่มองไม่เห็นความหวังจากนักการเมืองรุ่นเก่า และพร้อมจะหันไปเลือกพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงติดที่พรรคนี้ยังคงท้าทายต่อสถาบันหลักของชาติ

พูดกันจริงๆ แล้วสภาพของนักการเมืองรุ่นเก่าที่เข้ามาบริหารประเทศทั้งอดีตและปัจจุบันนั่นแหละที่เป็นปุ๋ยอันดีให้พรรคก้าวไกลเติบโต เพราะนักการเมืองรุ่นเก่ามีภาพที่ติดลบในสายตาของประชาชน เมื่อใครมีโอกาสเข้าไปมีอำนาจแล้วก็จะแสวงหาผลประโยชน์ ข่าวคราวขายตัวแลกกล้วยก็ล้วนแล้วแต่บั่นทอนความเชื่อและศรัทธาของตัวเองลง และร่องรอยของผลประโยชน์ที่ครอบคลุมไปทุกองคาพยพของสังคมไทยในทุกสถาบันที่ร้อยรัดกัน ทำให้ง่ายที่ฝ่ายที่มีความคิดและท้าทายต่อระบอบสามารถที่จะปลูกฝังความคิดของคนรุ่นใหม่ให้เห็นถึงตัวอย่างของความฟอนเฟะเหล่านั้น และสามารถชักนำคนรุ่นใหม่ให้ท้าทายต่อสถาบันหลักของประเทศได้ง่าย

ความยากที่จะลืมตาอ้าปากได้ของคนรุ่นใหม่ที่ต่างกับคนรุ่นพ่อแม่ที่อดีตพ่อทำงานเพียงคนเดียวก็สามารถเลี้ยงดูได้ทั้งครอบครัว สามารถซื้อบ้านและให้ลูกมีการศึกษาได้ทุกคน แต่คนยุคนี้ยากมากที่จะสร้างครอบครัว แม้แต่ตัวคนเดียวเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยความยากลำบาก และโทษว่าเพราะคนรุ่นเก่านั้นแหละที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้สังคมเป็นแบบนี้ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตขึ้น ยิ่งนานวันสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นมากขึ้นพวกเขาก็ยิ่งมองไม่เห็นความไม่เท่าเทียมกันจนความคิดเรียกร้องคนเท่ากันและเรียกร้องรัฐสวัสดิการซึ่งเป็นรากของสังคมนิยมถูกฝังเข้าไปในความคิดของคนรุ่นใหม่

เราจึงเห็นคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งมีความคิดที่รุนแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาก และพร้อมที่จะเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันในการออกมาต่อสู้เรียกร้องบนถนน และคนรุ่นนี้จึงมองพรรคก้าวไกลเหมือนกันพรรคที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นพวกเขา

ผมไม่รู้เหมือนกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลจะกล้าหาเสียงอย่างเปิดเผยหรือไม่ว่า จะยกเลิกมาตรา 112 จะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จะตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานส่วนพระมหากษัตริย์ แต่การแสดงออกที่ผ่านมาของพวกเขาก็ชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายที่พร้อมจะพุ่งเข้าชนเป้าหมายเหล่านั้น

ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วนั้นพรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนมากถึง 6 ล้านกว่าเสียง โดยได้ส.ส.เขตถึง 30 เสียง และส.ส.บัญชีรายชื่อถึง 57 คน แน่นอนในครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อมากขนาดนั้น ทำให้ส.ส.บัญชีรายชื่อหลายคนเป็นพวกส้มหล่นที่ไม่มีคุณภาพและบทบาทในสภา แต่เชื่อว่าครั้งนี้พรรคก้าวไกลจะคัดกรองบุคคลในการใส่ลงในบัญชีรายชื่อในระดับที่คาดหวังได้อย่างพิถีพิถันมากขึ้น แม้ว่าครั้งนี้อาจจะไม่ได้บัญชีรายชื่อเท่าเดิมเพราะเป็นการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบหาร 100 ที่พรรคการเมืองที่ได้ส.ส.เขตมากจะได้ประโยชน์ และพรรคเพื่อไทยซึ่งมีฐานเดียวันส่งคนลงครบทุกเขต

ผมคิดว่าพื้นที่ที่น่าจับตาก็คือ กทม.ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของฝ่ายอนุรักษนิยมในอดีต แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วนั้นจะถูกมวลชนฝ่ายตรงข้ามยึดครองเพราะจำนวนส.ส.กทม.ครั้งที่แล้ว 30 คนนั้นเป็นพรรคเพื่อไทย 9 คน และพรรคอนาคตใหม่ 9 คนรวมเป็น 18 คน และที่เหลือ 12 คนเป็นพรรคพลังประชารัฐ แต่การเลือกตั้งสก.กทม.ที่ผ่านมานั้นก็ส่งสัญญาณแล้วว่า ส.ส.กทม.เที่ยวหน้าอาจจะถูกยึดครองด้วยพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะในเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้นก็ล้วนแล้วแต่ถูกสก.ก้าวไกลยึดครองเป็นส่วนใหญ่

การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลอาจจะยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ผมคิดว่าไม่มีพรรคการมืองฝั่งไหนที่กล้าจะจับมือกับพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่ผลลัพธ์จากการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลน่าจะส่งนัยมากพอที่จะท้าทายอนาคตของสังคมไทยและมองเห็นทิศทางของอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นไปในทิศทางใด พวกเขาเป็นเจ้าของเวลาที่เหลืออยู่ข้างหน้าที่มากกว่า และพวกเขาค่อยๆเติบโตขึ้นมาเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในวันที่คนรุ่นเก่าค่อยๆล้มหายตายจากไป

ถ้าวันนี้นักการเมืองรุ่นเก่าและคนที่มีอำนาจอยู่ยังคงทำให้เห็นถึงสภาพฟอนเฟอะของสังคมไทยที่ต่างคนต่างก็แสวงหาผลประโยชน์ ภาพจำของคนรุ่นเก่าก็ยิ่งติดลบในสายตาของคนรุ่นใหม่และยิ่งกระตุ้นให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้

เราไม่รู้หรอกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าหรือไม่แต่พวกเขาก็มองเห็นปัจจุบันที่ฟอนเฟะอยู่นั่นเอง

ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น