ประเด็นที่สำคัญที่สุดของการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ในเดือนตุลาคมปี 2022 ที่ผ่านมา โดยการประชุมนี้จัดขึ้นทุกๆ 5 ปี คือการต่ออายุให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคในสมัยที่ 3 ต่อไปอีก 5 ปี ทำให้สี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งระดับสูงสุดทางการเมือง และเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขาในฐานะผู้ปกครองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีนนับตั้งแต่เหมา เจ๋อตุง ผู้นำการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
มองจากการเมืองภายในของจีน การต่ออายุให้สี จิ้นผิง ซึ่งอยู่ในอำนาจสูงสุดมาแล้ว 10 ปีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งจีน และโลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเข้าสู่ยุคดิจิทัล รวมทั้งเศรษฐกิจภาคการเงิน ระบบอุตสาหกรรม เทคโนโลยีของจีนมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเหนือกว่าชาติตะวันตก ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับมหาอำนาจตะวันตก ที่ไม่ต้องการเห็นจีนมีความก้าวหน้าแต่ต้องการให้จีนเดินอยู่ในกรอบหรือกฎเกณฑ์ที่มหาอำนาจตะวันตกกำหนดเอาไว้จะได้ควบคุมอำนาจบนโลกนี้แบบเบ็ดเสร็จต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรักษาดอลลาร์กงเต๊กในฐานะเงินสกุลหลักของโลกต่อไป
ความขัดแย้งนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้โลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
ความต่อเนื่องในการบริหารประเทศจีนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในช่วงที่หมิ่นเหม่ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ จึงไม่สมควรที่จะเปลี่ยนม้ากลางศึก และจะได้มีการต่อยอดวิสัยทัศน์และนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงต่อไปในการการเดินหน้าพัฒนาประเทศเพื่อสร้างยกฐานะการดำรงชีพของคนจีน 1,400 ล้านคนให้กินดีอยู่ดีในเศรษฐกิจสมัยใหม่ของยุคดิจิทัล รวมทั้งการเน้นการอยู่ร่วมอย่างสันติกับประเทศต่างๆ บนพื้นฐานของการพัฒนาและความร่วมมือ ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม ที่ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย การไม่ก้าวก่ายในกิจการภายในของประเทศอื่น ซึ่งแตกต่างจากหลักการการแบ่งแยกและปกครอง (Divide and Rule) ที่มหาอำนาจตะวันตกใช้กับโลกใบนี้มาตลอดในการตักตวงเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองแต่ฝ่ายเดียว
ด้วยเหตุของความจำเป็นที่ต้องมีความต่อเนื่องในการบริหารประเทศนี้ เราจึงได้เห็นการต่ออายุให้สี จิ้นผิงอยู่ในอำนาจต่อไปเป็นผู้นำในสมัยที่ 3 เป็นเวลาอีก 5 ปี และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้น สมาชิกของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีการสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อสี จิ้นผิง และจะทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งในการผลักดันให้จีนเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับมือกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังเปิดศึก 2 ด้าน ผ่านการทำสงครามตัวแทนกับรัสเซียที่ยูเครน และการดำเนินนโยบายยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกเพื่อปิดล้อมจีนทางทหารในภูมิภาคนี้ และความเป็นไปได้ที่จะใช้ไต้หวันเป็นสงครามตัวแทนเพื่อทำลายจีน เหมือนกับที่ใช้ยูเครนเป็นสงครามตัวแทนเพื่อทำลายรัสเซียในเวลานี้
สหรัฐฯ หรือกลุ่มแองโกล-แซกซอนมองจีน และรัสเซียเป็นศัตรูอันดับ 1 และอันดับ 2ตามลำดับ ที่ขัดขวางการรักษาอำนาจความเป็นมหาอำนาจโลกขั้วเดียวของตัวเอง ที่มองว่าจีนเป็นศัตรูอันดับ 1 เพราะว่าจีนมีระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงที่แข็งแกร่ง มีภาคอุตสาหกรรมที่ใหญ่กว่าภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ และยุโรปรวมกัน เมื่อมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และมีการเติบโตสูง โดยอีกไม่ถึง 10 ปี ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะแซงหน้าขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อเศรษฐกิจของจีนมีขนาดใหญ่ที่สุด ระบบการเงิน ตลาดเงินตลาดทุนจะมีมูลค่าตลาดรวมใหญ่ขึ้นตามลำดับใหญ่กว่าวอลล์สตรีท บทบาทของเงินหยวนจะผงาดขึ้น กลายเป็นหนึ่งในเงินสกุลหลักของโลกต่อไป
ส่วนรัสเซียถูกมองว่ามีระบบเศรษฐกิจที่ล้าหลัง มีแต่น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ แม้ว่าจะมีแสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร แต่ไม่น่ากลัวเท่ากับจีน ที่มีความพร้อมกว่าในทุกด้าน
พูดกันง่ายๆ จีนกำลังถูกสหรัฐฯ รังแก สหรัฐฯ มียุทธศาสตร์ทางทหารที่จะปิดล้อมจีนตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ต่อเนื่องมาถึงสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีการเริ่มก่อสงครามการค้า สงครามภาษี สงครามเทคโนโลยี มีการกีดกันบริษัทจีนในการทำธุรกิจ หรือเทรดหุ้นในสหรัฐฯ มีการล็อบบี้ประเทศต่างๆ ไม่ให้คบค้าสมาคมกับจีน บล็อก 5G ของหัวเว่ย เพื่อสกัดการความก้าวหน้าและการเจริญเติบโตของจีน
มาถึงสมัยของโจ ไบเดนในปัจจุบันมีการเร่งเครื่องในการใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือในการยุแยงให้ไต้หวันมีความแตกแยกกับจีน สนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นรัฐอิสระ ถ้าหากจีนไม่ระมัดระวังเพียงพอ ไต้หวันอาจจะกลายเป็นสงครามตัวแทน เพื่อที่จะเป็นเงื่อนไขในการแซงชั่นจีน หรือก่อสงครามกับจีนก็ได้ เหมือนกับที่สหรัฐฯ ใช้ยูเครนเป็นสงครามตัวแทนเพื่อแซงชั่นรัสเซีย และให้รัสเซียติดหล่มในสงครามยูเครนให้นานที่สุด จะได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยหวังว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองภายในรัสเซีย ให้รัสเซียล่มสลาย
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ที่ความมั่นคง หรือการดำรงอยู่ของจีนถูกท้าทายจากภายนอก ความสามัคคี หรือความมีเอกภาพภายในจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความอยู่รอดของจีน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกตามมาด้วย
ตลอดระยะเวลา 10 ปีของการดำรงตำแหน่ง 2 สมัยแรก เราได้เห็นประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเร่งปัดกวาดถูกบ้านเรือนให้สะอาด ด้วยการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเข้มงวด จีนมีกฎหมายต่อต้านการคอร์รัปชันที่รุนแรง มีโทษจำคุกหนัก รวมทั้งโทษประหารชีวิต แต่การที่สี จิ้นผิงจัดการกับคอร์รัปชันไปถึง 4-5 ล้านคดีในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์ภายในจีนยังฝังรากแน่น ไม่งั้นคงไม่กล้าคอร์รัปชันกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับผู้บริหารที่มีตำแหน่งสูงๆ ทั้งในระดับมณฑล และระดับประเทศ ทำให้สี จิ้นผิงจำต้องใช้ไม้แข็งในการจัดการอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้น จีนจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ถ้ายังมีกลุ่มผลประโยชน์แอบแฝง ที่จะเป็นรอยร้าวสร้างความแตกแยกต่อไป และจะเป็นเครื่องมือของต่างชาติในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อแบ่งแยกและควบคุมจีนทางอ้อม
มองจากสายตาของต่างชาติการต่ออายุสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง และการแต่งตั้งคณะบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับสี จิ้นผิงให้ขึ้นมามีอำนาจทั้งในพรรคคอมมิวนิสต์ และในฝ่ายบริหารถือว่าเป็นการรวบอำนาจของสี จิ้นผิง สะท้อนให้เห็นระบบเผด็จการ (Dictatorship) หรืออำนาจนิยม (Authoritarianism) ของจีน ซึ่งแตกต่างจากระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยของตะวันตกที่มีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่จีนได้ตอบโต้ว่าระบบการเมืองของแต่ละประเทศมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จีน และประเทศต่างๆ ต้องเอาระบบการเมืองของตะวันตกที่อ้างว่ามีประชาธิปไตย แต่ความจริงมีนายทุนหนุนหลังมาใช้ และไม่ได้ดูแลความทุกข์สุขของประชาชนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ระบบทุนนิยมการเงินที่ใช้ก่อให้เกิดวิกฤตการเงิน และความเสียหายทางเศรษฐกิจในทุกๆ 7 ปี-10 ปีของวงจร
จีนผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวิกฤตมามากในระยะเวลา 100-200 ปีที่ผ่านมา ที่เจอทั้งสงครามฝิ่นกับอังกฤษ การล่มสลายของระบบจักรพรรดิ สงครามกลางเมือง การเปลี่ยนแปลงประเทศสู่สังคมนิยมโดยเหมา เจ๋อตุง ทำให้จีนปรับเอาระบบสังคมนิยมที่มีคุณลักษณะเฉพาะของจีน (socialism with Chinese characteristics) มาใช้ โดยเน้นการดูแลผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม แตกต่างจากระบบทุนนิยมของตะวันตกที่มุ่งแสวงหาผลกำไรให้นายทุน
ตามชื่อที่สื่อออกมา ระบบสังคมนิยมคือระบบที่ดูแลสังคม ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ระบบทุนนิยม ซึ่งไทยเรารับเอาระบบตะวันตกมาใช้ดูแลผลประโยชน์ของนายทุน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสังคมที่หมักหมม และจะเป็นวิกฤตการเมืองในอนาคตเมื่อประชาชนส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้
ระบบสังคมนิยมของจีนที่สี จิ้นผิงดูแลต่อเนื่องมาจากผู้นำจีนรุ่นก่อน มีภาครัฐที่มีความเข้มแข็ง รัฐเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ๆ ในภาคธุรกิจ และการเงินที่มุ่งไฟแนนซ์ภาคการผลิตและนวัตกรรมมากกว่าการเก็งกำไร เนื่องจากรัฐเป็นผู้นำในการสร้างความเจริญเติบโต และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ จึงอยู่ในฐานะที่จะกระจายรายได้ให้กับประชาชน แก้ไขปัญหาความยากจน และดูแลสวัสดิการทางสังคมได้ดีกว่าระบบของตะวันตกที่มุ่งแสวงหาผลกำไรให้เอกชน ทำให้นับวันนายทุนจะรวยขึ้น ส่วนชนชั้นกลางและคนจนจะจนลงไปเรื่อยๆ จากทุนนิยมการเงินที่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ และค่าเงินที่เสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ
สำหรับเรื่องต่างประเทศ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นคนริเริ่มโครงการสายไหมใหม่ (One Belt, One Road) ที่จะเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าเป็นตลาดเดียวกัน ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีจีนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา และความร่วมมือ โครงการสายไหมใหม่นี้จะเป็นเครื่องยนต์หลักที่จะสร้างความเจริญ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้กับโลกในอนาคต ผ่านการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ การผลิต การจ้างงานและการบริโภค
จากโมเดลทางเศรษฐกิจที่เน้นการพัฒนา และความร่วมมือนี้ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประสบความสำเร็จในการเขาไปช่วยพัฒนาแอฟริกา ทำให้ประเทศต่างๆ ในแอฟริกาให้การต้อนรับทุนจีนเป็นอย่างดี เพราะว่ามุ่งเน้นการลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยไม่เข้าไปแทรกแซงการเมืองภายใน ให้ชาวแอฟริกันมีโอกาสเติบโตและมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เหมือนโมเดลของตะวันตกที่มุ่งตักตวงทรัพยากรธรรมชาติของแอฟริกาในรูปแบบของลัทธิล่าอาณานิคมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากต้องต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตกที่ไม่ยอมเลิกรา ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงมีการดำเนินนโยบายต่อเนื่อง เพื่อสร้างความร่วมมือทางความมั่นคง และการทหารกับมิตรประเทศอย่างเช่น รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ เพื่อปกป้องตัวเอง เนื่องจากทุกประเทศที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ออกนอกลู่นอกทางที่วอชิงตัน ดี.ซี.กำหนดล้วนแล้วแต่ตกเป็นเป้าในการทำลาย หรือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (regime change) ของโลกตะวันตก อันเห็นตัวอย่างของอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย ลิเบีย คิวบา เยเมน อิหร่าน เวเนซุเอลาที่ล้วนแล้วแต่โดนสงคราม และมาตรการการแซงชั่นที่รุนแรง
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงมีการสร้างความร่วมมือทางความมั่นคงเพื่อต้านทานอิทธิพลขององค์กรนาโตผ่านกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) ที่มีสมาชิกเช่น จีน อินเดีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน รัสเซีย ปากีสถาน และอุซเบกิสถาน ส่วนประเทศอัฟกานิสถาน เบลารุส อิหร่าน และมองโกเลียกำลังรอสมัครเข้าเป็นสมาชิกในองค์กรความร่วมมือทางมั่นคงนี้อย่างเต็มตัว
จีนเป็นผู้นำของกลุ่มบริกส์ ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ที่กำลังสร้างระเบียบโลกใหม่ทางเศรษฐกิจและการเงิน ที่เป็นอิสระจากระบบดอลลาร์กงเต๊กของวอลล์สตรีทและระบบการเงินของลอนดอน โดยกลุ่มบริกส์มีการก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาเพื่อปล่อยกู้ในโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
ต่อไปในข้างหน้ากลุ่มบริกส์จะมีเงินตราที่จะเป็นเงินสกุลร่วมที่เป็นดิจิทัลของตัวเองเพื่อค้าขายกันโดยไม่ต้องพึ่งพาดอลลาร์ ยูโร เยน หรือปอนด์ หรือให้มีการค้าขายกันด้วยเงินสกุลของชาติตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นที่จีนและรัสเซียได้ตกลงกันไปแล้วในการใช้เงินหยวนและเงินรูเบิลเป็นหลักในการทำธุรการเงินระหว่างกันโดยไม่พึ่งพาดอลลาร์
ที่สำคัญระบบการเชื่อมโยงข้อมูลของธนาคารจะไม่ใช้ระบบ SWIFT ที่สหรัฐฯ ดูแล ทำให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือแซงชั่นประเทศใดก็ได้ อย่างไรเวลานี้ที่ระบบธนาคารของรัสเซียถูกสหรัฐฯ แบนจากระบบ SWIFT ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศได้ หลังจากที่รัสเซียทำสงครามบุกยูเครน กลุ่มบริกส์จะใช้ระบบข้อมูลการเชื่อมโยงระบบธนาคารที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยมีจีนเป็นผู้นำ จีนได้มีการพัฒนาระบบ Cross-Border Interbank System อยู่แล้ว เพื่อไม่ต้องพึ่งพาระบบ SWIFT อีกต่อไป มีหลายประเทศกำลังพัฒนาสนใจที่จะสมัครเป็นสมาชิกของบริกส์ มีรายงานว่าอัลจีเรีย อาร์เจนตินา อิหร่านได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์ไปแล้ว ส่วนประเทศอื่นที่แสดงความสนใจสมัครเป็นสมาชิกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นซาอุดิอาระเบีย ตุรกี อียิปต์ อัฟกานิสถาน อินโดนีเซีย
ล่าสุดนโยบายที่สำคัญที่สุดภายใต้ความเป็นผู้นำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงคือหาลู่ทางความร่วมมือเพื่อสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง และในโลกมุสลิม รวมทั้งการสร้างเปโตรหยวน
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สี จิ้นผิงได้เดินทางไปเยือนซาอุดิอาระเบีย อย่างเป็นทางการ และได้มีโอกาสประชุมซัมมิตกับผู้นำของกลุ่มประเทศอาหรับในตะวันออกกลาง และประเทศมุสลิมอื่นๆ จีนเสนอที่จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน โดยให้เส้นทางสายไหมใหม่เชื่อมโยงกับตะวันออกกลาง ที่สำคัญ สี จิ้นผิงเสนอให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ซื้อน้ำมันด้วยข้อตกลงระยะยาว เนื่องจากเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานี้ และให้ผู้ผลิตน้ำมันค้าขายน้ำมันเป็นเงินหยวน เพื่อที่จะกระจายความเสี่ยงออกจากการถือครองดอลลาร์อย่างเดียว เพราะการถือครองดอลลาร์หรือยูโรอาจจะถูกยึด หรือแซงชั่นโดยชาติตะวันตกก็ได้ เหมือนอย่างที่รัสเซียโดนยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไป $300,000 กว่าล้าน นอกจากนี้การพิมพ์ดอลลาร์ออกมาอย่างไม่อั้นทำให้มีความเสี่ยงในเรื่องของเงินเฟ้อของดอลลาร์ที่จะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ
ปรากฏว่าซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศอาหรับและมุสลิมให้การต้อนรับกับข้อเสนอของสี จิ้นผิงเป็นอย่างดี เพราะว่าจะได้ออกจากอิทธิพลของกลุ่มแองโกล-แซกซอนที่ครอบงำภูมิภาคนี้มาตลอดผ่านเปโตรดอลลาร์ และความมั่นคง ตะวันออกกลางคุยกับสหรัฐฯ มีแต่เรื่องน้ำมันกับอาวุธสงคราม แต่เวลาคุยกับจีนมีแต่เรื่องการค้า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ทำให้การเมืองในตะวันออกกลางและโลกมุสลิมกำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยจะมีการสร้างสัมพันธ์และความร่วมมือกับจีนและรัสเซียมากยิ่งขึ้นเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของตะวันตกที่ใช้หลักการแบ่งแยก และปกครองทำให้ภูมิภาคนี้อยู่ในโลกของความขัดแย้งและภาวะสงครามมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์ 911
สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนบ้านเรา รวมทั้งประเทศไทย ต้องมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่กำลังถูกสหรัฐฯ บังคับให้เลือกข้างผ่านยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่ต้องการปิดล้อมจีนทางทหาร ถ้าหากอาเซียนถูกเสี้ยมให้แตกแยกหรือไม่สามารถรักษาดุลยภาพได้ จะทำให้ภูมิภาคนี้ไร้ความมั่นคง และอาจจะถูกผลักดันให้เข้าสู่สงครามของความขัดแย้งของมหาอำนาจก็ได้
ที่บอกว่าโลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลง หมายถึงการระเบียบโลกเก่าที่มีมหาอำนาจขั้วเดียวของกลุ่มแองโกล-แซกซอนที่ผูกขาดอำนาจ หรือจะบอกว่าเอาเปรียบโลกใบนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปีกำลังเสื่อมลง เพราะว่าทุนนิยมการเงินที่ก่อให้เกิดหนี้ท่วมระบบกำลังล่มสลาย ทำให้เกิดขั้วอำนาจใหม่ขึ้นมานำโดยจีน รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ กลุ่ม BRICS กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง รวมทั้งประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายที่กำลังรวมตัวกันเพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ ที่มีเสรีภาพ มีความยุติธรรม และสันติภาพที่แท้จริงโดยไม่จำเป็นต้องเดินตามเกมที่กลุ่ม G7 อันประกอบด้วยสหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่นที่เป็นผู้กำหนดเพื่อรักษาอำนาจ และผลประโยชน์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว
จีนภายใต้ความเป็นผู้นำของสี จิ้นผิงจะมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกในวาระโลกใหม่ (New World Order) ที่เน้นความร่วมมือ และการพัฒนา รวมทั้งการอยู่ร่วมกันด้วยสันติภาพ โดยที่ให้การยอมรับความแตกต่างในระบบการเมืองของแต่ละประเทศที่มีเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ไม่เหมือนกัน โดยที่ไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซง
โมเดลสังคมนิยมของจีนจะมีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจโลกในวาระโลกใหม่ เพราะว่าจีนมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดดตลอดระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมาของการเปิดประเทศ โดยโมเดลของจีนจะให้ความสำคัญของบทบาทของรัฐบาลในการดูแลนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนา เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม ไม่ใช่ปล่อยให้ระบบนายทุนตักตวงผลกำไร และผลประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง และชนชั้นกลางและคนจนถูกเอาเปรียบจนแทบจะไม่มีกินมีใช้ ระบบการเงินภายใต้การควบคุมของรัฐบาลต่อไปจะลดการเก็งกำไรทางการเงิน แต่จะเน้นการปล่อยกู้เพื่อการพัฒนาประเทศ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ยุติธรรม ไม่เอาเปรียบผู้กู้หรือประชาชน
ที่สำคัญ สี จิ้นผิงมีแนวความคิดที่จะส่งออกวัฒนธรรมและภาษาจีนในรูปแบบซอฟต์พาวเวอร์อย่างเป็นระบบอีกด้วย เพื่อต้านอิทธิพลของกลุ่มแองโกลอเมริกันที่มีอิทธิพลมากในอุดมการณ์ กฎเกณฑ์ แนวปฏิบัติ ความเชื่อ การศึกษา ภาษาวัฒนธรรมในโลกปัจจุบันที่อยู่เบื้องหลังลัทธิล่าอาณานิคมสมัยใหม่
ทั้งหมดนี้ คือความท้าทายของสี จิ้นผิงในการนำพาจีนให้เดินหน้าต่อไปในวาระโลกใหม่ ที่จะมีผลกระทบต่อระบบโลก และสร้างแรงสั่นสะเทือนของการเปลี่ยนแปลงไปจนถึงรากของโครงสร้างระเบียบโลก ดังต่อไปนี้:
-- มหาอำนาจหลายขั้ว
-- ระบบสังคมนิยมจะมาแทนทุนนิยมที่ไปต่อไม่ได้ เพราะว่าสังคมนิยมดูแลประชาชน ส่วนทุนนิยมดูแลผลประโยชน์ของนายทุน
-- เน้นเศรษฐกิจที่แท้จริงมากกว่าการเก็งกำไรในภาคการเงิน
-- โลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยอมรับความแตกต่างของระบบการเมือง ไม่แทรกแซงกิจการภายใน
-- บทบาทหยวนจะเพิ่มขึ้น ดอลลาร์ไม่สามารถผูกขาดการเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป
-- ความเจริญของโลกจะกลับมาอยู่ที่เอเชีย